วันนี้ไม่มีปฏิวัตินับว่าบุญโข | อมร วาณิชวิวัฒน์
เรื่องราวการทุจริตประพฤติมิชอบของข้าราชการนักการเมือง ที่มีภาคเอกชนนักธุรกิจเป็นผู้ให้ คือ สิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมไทยที่มีมาอย่างต่อเนื่อง
แต่ปรากฏว่าในระยะหลังๆ เหมือนว่าระบบการเอาผิดกับผู้มีเยี่ยงอย่าง หรือพฤติกรรมในทางเลวร้ายเป็นไปค่อนข้างช้า ไม่ทันอกทันใจบรรดาผู้คนที่ติดตามเฝ้าดูการทำงานของภาครัฐ ทำให้ต้องมี จอมแฉ รายการโน่นนี่ออกมาเปิดโปง
แต่ท้ายที่สุด ของแท้ของเทียมคนดูอย่างเราก็พอเดาได้ บางคนอุทานว่า “อ้าว มันเป็นโจรเหมือนกันนี่” แต่ก็ยังชื่นชมกับผลงานอันอลังการ ที่อย่างน้อยชะลอการเอาเงินแผ่นดินไปละเลงตำน้ำพริกละลายแม่น้ำไว้ได้เป็นการชั่วคราวกว่าแสนล้าน
ถ้ามองด้วยใจเป็นกลาง เราจะพบว่า ข้าราชการเลวๆ เดี๋ยวนี้กล้าที่จะไม่จนอีกต่อไป ล่าสุด มีข่าวเผยแพร่ทั่วไปว่า หัวหน้าฝ่ายการเงินของเขตราชเทวี มีเงินซุกในรถฟอร์จูนเนอร์เกือบเจ็ดล้านบาท ไปค้นที่บ้านปรากฏมีทรัพย์สินงอกทั้ง พระเครื่อง รถยนต์เล็กซัส
เงินหมุนเวียนในชื่อภรรยาเกือบห้าสิบล้าน บ้านพักอาศัยย่านนนทบุรีกว่าสิบล้านบาทในชื่อลูกชายที่ยังไม่มีรายได้ คาดว่ามีกระบวนการ “เป็นลมใต้ปีก” หนุนเนื่องอยู่อีกหลายคน
คำคมของหน่วยที่ไปติดตามจับกุมได้ คือ “ให้ใจเย็นๆ หนังเพิ่งเริ่มฉาย และทรัพย์สินที่พบนี้เป็นสิ่งที่มากเกินกว่าข้าราชการปกติจะทำมาหาได้” ผมสรุปมานะครับอาจไม่ใช่ verbatim หรือ “คำต่อคำ” ซะทีเดียว
แต่เป็นคำที่พวกเราต้องตระหนัก เพราะทุกปีและทุกครั้งเมื่อมีข้าราชการทั้งภาคปกติและภาคการเมือง โยกย้ายเข้าออกจากตำแหน่งจะมีการเปิดเผยบัญชีรายการทรัพย์สินหนี้สินออกมามากมาย
มีสื่อหลายสื่อติดตามนำมาเสนอให้เรารับทราบอยู่เป็นประจำ เช่น ผู้ว่าร้อยล้าน ผู้ว่าหมื่นล้าน นักการเมืองคนนั้นคนนี้มีเงินหลายหมื่นล้าน หนี้อีกก้อนหนึ่ง แต่แล้วก็เงียบไป ไม่รู้ว่าเผยแพร่แล้วเพื่อให้คนฮือฮา เป็นข่าวโปรโมทคนแสดงทรัพย์สินหนี้สิน แล้วหากมีอะไรน่าสงสัยไปถึงขั้นต้องยึดอายัดทรัพย์ “หน่วยงานที่ต้องรับลูกต่อ ทำอะไรอยู่”
คำพูดหรือวลีที่ผมคัดย่อมานี้ น่าจะเป็นกำลังใจให้พวกเรา “ข้าราชการคนดี” ที่มีรายได้น้อยนิด และอยู่บนอาชีพราชการด้วยอุดมการณ์อย่างผมและสมัครพรรคพวก ได้มองเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ได้มากยิ่งขึ้น
ผมเองรับราชการมาใกล้เกษียณอายุราชการเต็มทีแล้ว แต่เงินเดือนเพิ่งแตะสี่หมื่นบาทเมื่อปีกลายที่ผ่านมา ไม่มีค่าตำแหน่งแห่งที่ (เพราะไม่ได้ทำตำแหน่งวิชาการ) แต่ก็กินอยู่แบบพอเพียงตามแนวทางพระราชดำริล้นเกล้าพระภัทรมหาราช
อยู่ด้วยความตั้งใจจะทำหน้าที่เพื่อส่วนรวม ไม่แต่งงานแต่งการเพราะเกรงว่าจะพาเจ้าสาวมาลำบากลำบน แต่เห็นข้าราชการจำนวนมาก มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย อ้างว่าเป็นรายได้จากมรดก จากการถูกหวย เล่นการพนัน หรืออื่นๆ กระทั่งมีเงินนับเป็นร้อยๆ พันๆ ล้าน
ถ้าถามคนใช้ชีวิตสมถะที่ผมเป็นอยู่จริง บอกได้เลยว่า การจะมีเงินมีทองได้ขนาดนั้น ทั้งสามีภรรยารวมกันจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
สมัยก่อนเมื่อใกล้วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระเจ้าอยู่หัว จะมีการโปรดฯ ให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งภาคการเมืองพลเรือนตำรวจทหารเข้าเฝ้าถวายพระพรและรับฟังพระบรมราโชวาท ได้เห็น “นายกรัฐมนตรี” ในแต่ละยุคสมัยนำข้าราชการฯ เข้าเฝ้าโดยพร้อมเพรียงกัน เมื่อได้ฟังพระบรมราโชวาท ก็มีทั้งชื่นชมและทรงให้คำแนะนำกับการบริหารราชการแผ่นดินที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
ในการเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นข้างต้น เมือเป็นเด็กผมก็ได้แต่ชื่นชมและคิดว่าวันหนึ่งเราน่าจะมีโอกาสในลักษณะเดียวกันนี้บ้าง ก็ตั้งปณิธาณไว้ว่า “เราต้องทำความดี ต้องเรียนหนังสือเก่ง ต้องเสียสละ” ต่างจากคนยุคปัจจุบัน ที่เป้าหมายเหมือนที่เคยพูดไว้หลายครั้งในหลายๆ ที่ว่า “ต้องรวยเร็ว ต้องกินอยู่สบาย มีล้านแรกแบบก้าวกระโดด”
อันน่าจะมาจากสาเหตุที่วันนี้ รถซูเปอร์คาร์วิ่งกันดาษดื่น และต้องก่นด่าประณามบรรดาห้างร้านที่ “คิดน้อย” เอื้อเฟื้อหรือสำรองพื้นที่ให้รถแบบนี้สร้างบรรทัดฐานงี่เง่าแบบนี้ด้วย เพราะปัจจุบัน ซูเปอร์คาร์ มิได้เป็นสัญลักษณ์ของความ “หรูหรา” “วีวีไอพี”
บางคนให้ร้ายไปถึงว่า “เป็นสัญลักษณ์หรือข้อสงสัยว่า คนใช้รถหรือเจ้าของรถไปทำอะไรมา จึงมีเงินหลายสิบล้านมาขับรถนี้ได้” ทำให้ความภาคภูมิใจ ความอยากมีอยากได้รถใน “เกรย์มาเก็ต” ลดน้อยลงไป
ไม่ได้อิจฉาคนรวยกว่าหรือมีเงินมีทองมากกว่า และตัวผมเอง “ไม่กลัวคนเลว” แต่ยำเกรงและเคารพ “คนทำความดีไม่ว่าเขาจะอยู่ในสถานะใดในสังคม” เมื่อครั้งได้ฟังพระบรมราโชวาท หรือเมื่อครั้งได้ร่วมงานสันนิบาตของรัฐบาลหลายครั้ง ก็พยายามสังเกตรถรา พฤติกรรมของผู้คนที่ผ่านไปมา ดูว่า เขามี protocol มีกระบวนการจัดการชีวิตของเขาอย่างไร
บางทีก็เห็นนักการเมืองบ้าง ข้าราชการบ้างที่เราเคยเห็นมาตั้งแต่เรียนหนังสือด้วยกัน อยู่วัดอยู่วา มาวันนี้มีลูกมีเต้า มีบริวารติดสอยห้อยตาม ถือข้าวของพะรุงพะรัง เวลาแสดงทรัพย์สินก็มีเงินเป็นหลายร้อยล้าน ในใจอันเป็นกุศลจิตก็ได้แต่ชื่นชมว่า คนเหล่านี้เก่งกาจสามารถมากถีบตัวเองจากติดลบขึ้นมาเป็นคนชั้นนำ elitists ในสังคมได้อย่างรวดเร็ว
แต่พอมานั่งคุยกับเพื่อนฝูงที่เขาติดตามการทุจริตประพฤติมิชอบ และคนที่อยู่ในแวดวงยุติธรรมบางกลุ่มที่มีข้อมูลเชิงลึก ก็ต้องตั้งสติ คิดทบทวนกันใหม่อยู่หลายคน
เวลานี้ผมและทีมกฎหมายและนักบริหารภาษีที่เป็นมืออาชีพและมีประสบการณ์สูง กำลังกระตุ้นพวกเราให้หันไปมองประมวลรัษฎากร มาตรา 49 ซึ่งพูดกันมาตั้งแต่ คสช. ยึดอำนาจใหม่ๆ แต่ยังไม่ทำอะไรเกือบสิบปีที่ผ่านมา ที่กำหนดให้ “กรมสรรพากรสามารถประเมินความมีอยู่จริงของทรัพย์สินหนี้สินได้”
ไม่ใช่แสดงทรัพย์สินมาเป็นหมื่นล้าน แล้วก็พากันอนุโมทนาสาธุ แล้วก็จบไป กระบวนการมันควรมีตั้งแต่ยื่นหรือรับยื่นเลยว่า ที่มายื่นนี้มันอยู่ตรงไหนมีจริงหรือรับฝากมา
กระทั่งต้องประเมินการใช้ชีวิตปกติด้วย ว่ามีเงินเท่านี้แต่ส่งลูกหลานไปเรียนเมืองนอก มีบ้านมีรถหลายคัน เอาเงินมาจากไหน เป็นอำนาจที่อธิบดีกรมสรรพากรจะเข้าไปตรวจสอบได้ หากไม่มีหลักฐานแสดงชัดเจนทรัพย์สมบัติเหล่านั้นต้องตกเป็นของแผ่นดิน และผมเชื่อว่าถ้าทำจริง เงินคงคลังของประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าพันทวี
ดังนั้นที่ผมบอกว่า “ที่เขาไม่ปฏิวัตินับว่าบุญโข” เพราะประสบการณ์ในอดีตผมเห็นแค่บุฟเฟ่ต์คาบิเน็ต เงินหายจริงไม่จริงไม่รู้ แต่มันน้อยและไม่รุนแรงเทียบเท่าสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยทุกวันนี้
พวกเราสมัยเด็กๆ ก็ได้หยุดเรียนกันประมาณหนึ่งสัปดาห์ แล้วเราก็เห็นผู้นำคนใหม่ออกมาพูดจาสัญญิงสัญญากับประชาชนว่าเข้ามาทำหน้าที่ชั่วคราวแล้วจะคืนอำนาจให้ประชาชน ผมยืนยันได้ว่า ไม่สนับสนุนการรัฐประหาร “แตถ้ามีใครทำแล้วดีจริงเปลี่ยนประเทศได้จริง ไม่เสียของอันนี้ผม no comment!"