‘วิโรจน์’ ซัดขบวนการถ่อยสกัด ‘พิธา’ เชื่อ ปชช.รู้ทัน ฉลุยตั้งรัฐบาลได้
‘วิโรจน์’ ของขึ้น! ซัด ‘ขบวนการคนถ่อย’ หวังสกัดขา ‘พิธา’ ไม่ให้นั่งเก้าอี้นายกฯ แต่โง่ไม่ทันโลก เชื่อประชาชนรู้ทัน มั่นใจตั้งรัฐบาลเดินหน้าฉลุย ชี้โดนสอบ ม.151 สัญญาณบวก รอดินฟ้าอากาศเปลี่ยนค่อยเดินคดี ลั่น ส.ว.บงการไม่ได้ ต้องเคารพเสียงประชาชน
เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2566 ที่พรรคก้าวไกล นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรคก้าวไกลจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จหรือไม่ ว่า พอกรณีของหุ้นไอทีวีถูกกระชากหน้ากากออกมา ซึ่งขณะนี้ประชาชนเชื่อว่าขบวนการไอ้โม่งมีอยู่จริง และถูกกระชากหน้ากากออกมาเกือบหมดแล้ว คนที่เป็นนายก็เริ่มถีบหัวส่งลูกสมุน ส่วนลูกสมุนแต่เดิมก็เสียงแข็งเพราะมั่นใจ ซึ่งเสียงแข็งเพราะมั่นใจกับเสียงแข็งเพราะความกลัวมันไม่เหมือนกัน ตนติดตามการให้สัมภาษณ์ช่วงหลังๆ ของลูกสมุนก็พบว่าไม่ได้มาขู่ฝ่ายตรงข้ามหรือก้าวไกล แต่ขู่ผู้บงการและลูกสมุนด้วยกันเองมากกว่า ว่าอย่ามาปูดหรือทิ้งเขา ถ้าทิ้งก็จะมีหลักฐานล่อคืนเหมือนกัน
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ดังนั้นต่อให้มีเหตุใดๆ ที่เกิดขึ้นจากนี้ที่จะมาสกัดกั้นการจัดตั้งรัฐบาล คุณจะเจอการคุ้ย การขุดการโยงการตรวจสอบจากภาคประชาชนอย่างเข้มข้นแน่นอน เพราะตอนนี้ประชาชนมีสมมติฐานแล้ว ถ้ามีเหตุอะไรที่ยกขึ้นมาเป็นเครื่องมือในการขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาล หรือขัดขวางการที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ประชาชนจะมีสมมติฐานที่ไม่เชื่อโดยทันที และจะช่วยกันขุดและโยงหาคนที่อยู่เบื้องหลัง เหมือนการตรวจสอบเอกสารรายงานงบการเงินของไอทีวีปี 2565 ที่ยื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อวันที่ 10 พ.ค. มีคำว่าสื่อเข้ามา แต่ตอนที่ยื่นให้กับ กลต.ในเดือน ก.พ. ไม่มีคำว่ากิจการสื่อ ทั้งที่เป็นงบการเงินเดียวกัน และผู้สอบบัญชีคนเดียวกัน ไม่นับกรณีคลิปวิดีโอที่ถูกเผยแพร่ออกมา กับการบันทึกรายงานที่ไม่ตรงกัน เรื่องแบบนี้มันสะท้อนว่ามันจบแล้ว
“กรณีไอทีวีที่มีการคลิปวิดีโอ ออกมามันชัดเจนเลยว่ามีการวางแผนไว้ก่อน แต่ขบวนการคนถ่อยแบบนี้ มันคิดว่ามันฉลาด แต่มันฉลาดในโลกยุคโบราณ ที่ทุกอย่างมันใช้แต่เอกสารในการโยงกัน ไอ้คนถ่อยเหล่านี้มันเก่งในเรื่องของการโยงเอกสารกับเอกสาร แต่มันลืมว่าโลกใบนี้มันเป็นโลกของดิจิทัลที่มันมีดิจิทัลฟรุตปรินท์แล้ว และไม่สามารถกลับไปแก้ไขดิจิทัลฟรุตปรินท์ที่มันเกิดขึ้นจากตัวคุณเองได้ นี่คือความโง่ ความเขลา และความไม่ทันโลกของมัน และความโง่เหล่านี้ประชาชนเขารู้ทันแล้ว มันหมดมุข หมดท่าไม้ตาย มันจบแล้วครับนาย รัฐบาลเดินหน้าได้ฉลุยแน่นอน ” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ทั้งนี้ กรณี กกต.มีการปัดตก 3 คำร้องหุ้นไอทีวีของนายพิธา แต่ตั้งเรื่องไต่สวนตามมาตรา 151 แทน ตนคิดว่าเรื่องนี้คือสัญญาณบวก เพราะว่าการสู้ในเรื่องมาตรา 151 คือการรู้อยู่ก่อนว่าไม่มีคุณสมบัติแล้วมาสมัครนั้น หนึ่งคุณต้องชี้ ในเมื่อศาลยังไม่ตัดสินคุณจะไปกล่าวหาว่าเขารู้อยู่ก่อนได้อย่างไรว่าขาดคุณสมบัติ เพราะเขาเชื่อโดยสุจริตว่าเขามีคุณสมบัติ ไอ้คนกล่าวหาต้องมาพิสูจน์ ซึ่งตนยังตอบไม่ได้ว่ามันจะเอาหลักฐานอะไรมาพิสูจน์เรื่องนี้ เผลอๆ คนที่แจ้งมาตรา 151 มั่วๆ อาจจะโดนแจ้งความเท็จ แจ้งข้อมูลเท็จ กลั่นแกล้งให้บุคคลอื่นต้องโทษคดีอาญาด้วย ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่ได้แจ้ง มีการตั้งคณะทำงานศึกษาก่อน แต่หากกล้าแจ้งก็เลย
“อย่างไรก็ตามการสู้ในศาลยุติธรรม มันมี 3 ศาล แสดงว่าเขาต้องยอมแล้ว แต่เป็นการเอาชนะปักหลังมาตรา 151 แล้วไปซื้อเวลาเอา เผื่อดินฟ้าอากาศเปลี่ยน มันอาจจะสั่งให้มีอภินิหารในการเดินคดีได้ มันก็คิดอย่างนี้ เอาชนักปักหลังแล้วไปต่อรองเอา ถ้าเกิดใช้กลไก ส.ว.ได้วิชามารเหล่านี้ได้มันไม่เกิดหรอก แสดงว่า ส.ว. ผ่านแล้ว ส่วนเรื่องมาตรา 82 ของ พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. บางคนบอกจะเอา ส.ว. มาร้อง ซึ่งมันทำไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของแต่ละสภา ร้องข้ามสภากันไม่ได้ มันหมดแล้ว และผมเชื่อว่า ส.ว.ตอนนี้มีวิจารณญาณและเคารพเสียงของประชาชนมาก ไอ้ขบวนการคนถ่อยมันรู้ว่า มันบงการส.ว.ไม่ได้แล้ว มันก็ต้องใช้เส้นสนกลในอื่นๆ แทน แต่พอถูกกระชากหน้ากากเรื่องไอทีวีชนักที่ปักหลังนายพิธาหลุดหมด วิ่งตัวปลิวแล้ว และชนักกลับไปปักพวกมันแทน เป็นการให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว และเวรกรรมมีจริง ” นายวิโรจน์ กล่าว