เปิดตัว ‘พรพนา พลัส’ ธุรกิจอสังหาฯ หุ้นที่ ‘พิธา’ ยังไม่แจ้ง ป.ป.ช.
เปิดตัว ‘พรพนา พลัส’ ธุรกิจครอบครัว ‘ลิ้มเจริญรัตน์’ ทำซื้อขายที่ดิน-อสังหาริมทรัพย์ หุ้นที่ ‘พิธา’ ยังไม่แจ้งต่อ ป.ป.ช.ตอนพ้นเก้าอี้ ส.ส. ส่อผิดกฎหมาย
กรณีเมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยแพร่บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณี ส.ส.พ้นจากตำแหน่ง 40 ราย โดยรายชื่อน่าสนใจคือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กรณีพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2566 (ส่งเอกสารให้กับ ป.ป.ช. เมื่อ 18 มิ.ย. 2566)
โดยทรัพย์สินและหนี้สินของนายพิธา นำเสนอไปแล้วว่า แจ้งสถานะว่าหย่ากับคู่สมรส เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2562 จึงทำให้นายพิธาแจ้งบัญชีทรัพย์สินในส่วนตัวเองเท่านั้น โดยมีทรัพย์สินรวม 85,023,720 บาท หนี้สินรวม 20,740,176 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจคือกรณีการแจ้งเงินลงทุนของนายพิธา แจ้งถือครองทั้งสิ้น 65 รายการ รวมมูลค่า 1,346,698 บาท โดยรายการที่ 63 แจ้งถือครองหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น itv จำนวน 42,000 หุ้น มิได้ระบุวันเดือนปีที่ได้มา มูลค่า 44,100 บาท และรายการที่ 64 แจ้งถือครองหุ้นบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) จำนวน 830 หุ้น มิได้ระบุวันเดือนปีที่ได้มาเช่นกัน มูลค่า 41.50 บาท
การถือครองหุ้น itv และบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ถูกนายพิธา หมายเหตุว่า ผู้ยื่นในฐานะผู้จัดการมรดก ตามคำสั่งศาลแพ่งกรุงเทพใต้ คดีหมายเลขแดงที่ 1860/2550 ได้รับมอบหมายจากทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายพงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ (บิดา) ผู้ตาย ให้โอนหลักทรัพย์หุ้นนี้ อันเป็นกองมรดกถือครองไว้แทนทายาทอื่น
แต่นอกเหนือจากการถือครองหุ้นดังกล่าวแล้ว จากการตรวจสอบพบว่า นายพิธา มิได้แจ้งการถือครองหุ้นอีกอย่างน้อย 1 บริษัท ซึ่งเป็นธุรกิจในครอบครัว ‘ลิ้มเจริญรัตน์’ ได้แก่ บริษัท พรพนา พลัส จำกัด
บริษัทแห่งนี้ จดทะเบียนเมื่อ 22 ม.ค. 2550 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 154/5 ซอยสุขุมวิท 1 (รื่นฤดี) ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร แจ้งประเภทธุรกิจที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด การซื้อและการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของตนเอง เพื่อการพักอาศัย
ปรากฏชื่อกรรมการ 2 ราย
- นายแสง ลิ้มเจริญรัตน์
- นายบรรลือ ลิ้มเจริญรัตน์
นำส่งรายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดเมื่อ 30 เม.ย. 2566 จำนวน 6 คน เป็นคนตระกูล ‘ลิ้มเจริญรัตน์’ ทั้งสิ้น ได้แก่
- นายบรรลือ ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นใหญ่สุด 50%
- นางอัญชลี ลิ้มเจริญรัตน์ ถือ 10%
- นางเปล่งศรี ลิ้มจเริญรัตน์ ถือ 10%
- นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือ 10%
- นายภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์ (น้องชายนายพิธา) ถือ 10%
- นายแสง ลิ้มเจริญรัตน์ ถือ 10%
นำส่งงบการเงินล่าสุดปี 2565 มีสินทรัพย์รวม 2,904,081 บาท หนี้สินรวม 15,000 บาท ไม่มีรายได้ มีรายจ่ายรวม 448,491 บาท ขาดทุนสุทธิ 448,491 บาท
ขณะที่ครอบครัว ‘ลิ้มเจริญรัตน์’ ในส่วนของมารดา และน้องชายของนายพิธา พบว่า เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้น อย่างน้อย 6 แห่ง ได้แก่
- บริษัท พรพนา พาณิช จำกัด กิจการประกอบธุรกิจเข้าเป็นหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจำกัด
- บริษัท พีเอชแอนด์ที โอเชี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารทะเล อาหารทะเลแช่แข็ง และวัตถุดิบเกี่ยวกับอาหารทะเลทุกชนิด นำเข้าและส่งออกซึ่งสินค้าดังกล่าว
- บริษัท ออยล์ฟอร์ไลฟ์ จำกัด (ชื่อเดิมบริษัท ซีอีโอ อกริฟู้ด จำกัด) ธุรกิจโรงสกัดน้ำมันรำข้าว
- บริษัท แนชเชอรัล แลบบอราทอรี จำกัด ประกอบกิจการค้าขายอาหารเสริม และวิตามินบำรุงร่างกายทุกชนิด
- บริษัท พีเอสอาร์ พรอสเพอริที จำกัด จำหน่ายอาหารทะเลสด อาหารทะเลแช่แข็ง และวัตถุดิบเกี่ยวกับอาหารทะเล และให้บริการขนส่งสินค้า
- บริษัท เกร็ทโอเชียนฟู้ด จำกัด (เสร็จชำระบัญชีเมื่อ 4 ส.ค. 2554) ทำธุรกิจอาหารแช่แข็งประเภทเนื้อสัตว์
ทั้งนี้ การแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. กรณีพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.เมื่อ 20 มี.ค. 2566 (ส่ง ป.ป.ช.เมื่อ 18 มิ.ย. 2566 เผยแพร่เมื่อ 5 ก.ค. 2566) ไม่พบว่า นายพิธา แจ้งถือครองหุ้นดังกล่าวแต่อย่างใด (ดูรายละเอียดตามเอกสารท้ายข่าว)
ทั้งนี้ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 114 กำหนดว่า หากผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้องยื่นภายในเวลาที่กำหนด หากพบว่าจงใจปกปิดข้อเท็จจริงอันควรแจ้งให้ทราบ หรือแจ้งเท็จ จะมีความผิดตามมาตรา 167 มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดย ป.ป.ช.จะส่งสำนวนไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อพิจารณาต่อไป
อย่างไรก็ดีการยื่นบัญชีทรัพย์สินครั้งนี้ นายพิธายังมีโอกาสยื่นเอกสารเพิ่มเติม แต่ต้องชี้แจงรายละเอียดและเหตุผลว่า เหตุใดจึงไม่ได้ยื่นการถือครองหุ้นบริษัท พรพนา พลัส จำกัด ดังกล่าวแก่คณะกรรมการ ป.ป.ช.