‘ผู้นำสีฟ้า’ฝ่าด่านชิงอำนาจ จับตาเกมยาว‘สูตรจับขั้ว’
“ผู้นำค่ายสีฟ้า” ที่จะเห็นโฉมหน้าในวันที่9 ก.ค. จับตาเกมยาว ว่ากันว่า “ผู้มากบารมี” แห่งค่ายสีฟ้า ยามนี้มองเกมยาวข้ามช็อตไปถึงสูตรจับขั้วตั้งรัฐบาลในอนาคตแล้ว
ผลการเลือกตั้ง14พ.ค.2566 นับเป็นการตอกย้ำการดำเนินมาสู่จุดต่ำสุดของ “พรรคประชาธิปัตย์” พรรคการเมืองที่อยู่คู่การเมืองไทยมายาวนานถึง77ปี
ตัวเลขส.ส.25คน แบ่งเป็นส.ส.เขต22คน และส.ส.บัญชีรายชื่อ 3 คน เมื่อเจาะลึกไปที่ภาคใต้อันเป็นขุมกำลังสำคัญของพรรค ยกตัวอย่างจังหวัดสำคัญ อาทิ สุราษฎร์ธานีรอบที่แล้วเป็นจังหวัดเดียวที่ “แลนด์สไลด์” มารอบนี้“มนต์นายหัว” บัญญัติ บรรทัดฐาน เสื่อมเกิดปรากฎการณ์“แลนด์ไถล” พ่ายยกจังหวัด
หรืออีกจังหวัดอย่างตรัง บ้านเกิด “นายหัวชวน” ที่แม้จะกวาดส.ส.มาได้2ที่นั่ง แต่หากเช็คขุมกำลังดูแล้วเป็นที่รู้กันว่า บารมีนายหัวเสื่อมลงอย่างเห็นได้ชัดแถมยังถูกลูบคมจากซุ้มการเมืองในจังหวัดตรัง ตอกย้ำด้วยความปราชัยของ “เด็กปั้น” สำนักชวน ที่พ่ายแพ้ราบคาบ
ยังไม่นับรวมอีกหลากหลายพื้นที่เป้าหมายปชป.ที่เผชิญพลังอานุภาพ “กระแส-กระสุน” ของคู่ต่อสู้แม้แต่บรรดาบ้านใหญ่หลายซุ้มที่ว่าแน่ยังร่วงกันเป็นระนาว
เหล่านี้เป็นการตอกย้ำเส้นทาง “ค่ายสีฟ้า” ท่ามกลางกระแสสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
โดยเฉพาะ“ศึกชิงอำนาจ” ผ่านการประชุมใหญ่เพื่อเลือกหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ที่จะมีขึ้นในวันที่9ก.ค. ต้องจับตาขั้วอำนาจใหม่ที่จะเข้ามากุมบังเหียนเก้าอี้ “หัวหน้าพรรค”
“ผ่าขั้วอำนาจ” ในปชป.ยามนี้อย่างที่รู้กันว่า “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการเลขาธิการพรรค ถือไพ่เหนือด้วยจำนวนส.ส.ที่มีอยู่ในมือราว17 คน
ไม่แปลกที่ก่อนหน้าจะปรากฎความเคลื่อนไหวของ ขั้วอำนาจสายเสี่ยต่อในการดัน “นายกชาย” เดชอิศม์ ขาวทอง รักษาการรองหัวหน้าพรรคชิงหัวหน้าพรรคคนใหม่
แต่ทว่าอย่างที่รู้กันโจทย์ใหญ่ของ “ค่ายสีฟ้า” ในยุคผลัดใบรอบนี้ คือการ “รีแบรนด์” ครั้งใหญ่ชนิดที่ว่าต้อง “ลบภาพจำเก่า-สร้างภาพจำใหม่” โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ที่ถูกตีแตกแบบยับเยินจากคู่แข่งทั้งรวมไทยสร้างชาติ ภูมิใจไทย หรือแม้แต่ก้าวไกล
ดังนั้นการที่จะชูแบรนด์การเป็นพรรคคนใต้ มี “นายกชาย” เป็นหัวหน้าพรรคคนใต้ หรือหวังพึ่งเฉพาะเสียงคนใต้แบบที่ผ่านมาอาจใช้ไม่ได้อีกต่อไป
ก่อนหน้า “เฉลิมชัย” จึงได้พยายามทาบทามสมาชิกพรรค โดยเฉพาะ กลุ่ม “ทุนหนา-โปรไฟล์ดี” แต่อย่างที่รู้กันว่า การกุมบังเหียน“ผู้นำปชป.” ในยุคดิ่งสุดเช่นนี้ ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคก็เหนื่อยแทบทั้งสิ้น เผลอๆลงทุนลงแรงไปจะได้คุ้มเสียหรือไม่ ยังไม่มีใครตอบได้
ทำให้บุคคลเหล่านี้จึงยังลังเลไม่เปิดหน้าสู้แบบเต็มตัว จำนวนนี้มี "ดร.เอ้" สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่ากทม.ที่ว่ากันว่า “กลุ่มเฉลิมชัย” ลงทุนเทียบเชิญมากกว่า1ครั้ง ครั้งแรกที่บ้านเดือนล้อมดาว ย่านตลิ่งชั่นซึ่งเป็นเซฟเฮ้าส่วนตัวของเสี่ยต่อ
ขณะที่ครั้งล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเป็นการเทียบเชิญดร.เอ้ถึงที่บ้านพักส่วนตัว ว่ากันว่าผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์มีทั้ง เฉลิมชัย เดชอิศม์ และนริศ ขำนุรักษ์ รักษาการรมช.มหาดไทย รวมอยู่ด้วย
หลังมีข่าว “ดร.เอ้” ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า "มีผู้ใหญ่มาชักชวนให้เป็นหัวหน้าพรรคจริงเพราะเห็นว่า น่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ แต่จนนาทีนี้ยังไม่ตัดสินใจว่าจะลงสมัครหรือไม่"
แต่ในการสนทนาแบบ “ออฟเรคคอร์ด” ตัว “ดร.เอ้” เองก็หนักใจอยู่พอสมควรถึงขั้นเปรยๆในทำนองว่า ต่อให้เป็น“เทวดา” ก็ยังต้องกุมขมับกับความนิยมพรรคที่ไม่เหมือนแต่ก่อน
แต่เมื่อ“เฉลิมชัย” ถึงขั้นขอร้องแกมบังคับให้มาช่วยกันจึงต้องจับตาการเสนอชื่อในวันที่9ก.ค. โดยหากเป็นไปตามสูตรนี้จะมี “ดร.เอ้” ชิงหัวหน้าพรรค “เดชอิศม์” เลขาพรรค “มาดามเดียร์” วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนโยบายนวัตกรรม กทม.เป็นรองหัวหน้าพรรคคุมกทม.
โดยในส่วนของดร.เอ้และมาดามเดียร์นั้น ซึ่งเป็นสมาชิกมาไม่ถึง5ปีตามข้อบังคับพรรคข้อที่31 (6)ระบุให้ต้องเสียงสนับสนุน 3ใน4 ของที่ประชุม ซึ่งถือว่ายากพอสมควร
เช่นที่ประชุมมี300เสียง จะต้องได้เสียงสนับสนุนถึง225เสียง เป็นต้น
ทว่าข้อบังคับฉบับเดียวกันยังเปิดช่องให้ใช้เสียง 3 ใน 5 ยกเว้นขัอบังคับเรื่องคุณสมบัติดังกล่าวได้ เสมือนเป็นการเปิดช่องให้ทั้ง2คนลงชิงได้ง่ายขึ้น
ขณะที่อีกชื่อที่มีข่าวคราวเป็นผู้ท้าชิงมาตั้งแต่ต้น คือ “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค ด้วย “ศักดิ์ศรี” ความเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรค
ก่อนหน้านี้เจ้าตัวจึงออกอาการถอดใจเล็กๆ ถึงสูตรโหวตเตอร์70:30 ซึ่งทำให้ฝ่ายพลพรรคคนรักมาร์คตกเป็นรองด้วยส.ส.ที่มีในมือแค่ราว5-7คนจาก25คน
ถึงขั้นเปรยกับคนในพรรคในทำนองว่า “ถ้ากลับมาต้องชนะเท่านั้น ถ้าไม่ชนะก็จะไม่กลับมา”
แต่หากจับสัญญาณของฝ่ายพลพรรคคนรักมาร์คเวลานี้ ที่ออกมาเคลื่อนไหวบนดิน-ใต้ดินโดยเฉพาะ “ทนายเชาว์” หรือ “เชาว์ มีขวด” อดีตรองโฆษกพรรค ซึ่งมีสายสัมพันธ์อันดีกันมาตั้งแต่ยุคอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรค พยายามแก้เกมเสนอยกเว้นข้อบังคับเรื่อง “โหวตเตอร์70:30” เป็น “1สิทธิ์1เสียง” โดยใช้สาขาพรรคที่ออกมาเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้บีบอีกทางหนึ่ง
ทำให้สัญญาณ“เดอะมาร์ค” ยามนี้ยังคงใส่เกียร์เดินหน้า เนื่องจากเบาใจได้เปราะหนึ่งว่าหากแก้เกมตรงได้สำเร็จโอกาสที่จะชนะยังมีสูง หรือหากเช็คเสียงดูแล้วเป็นรองไป “ถอนตัว”หน้างานก็ยังทัน
ฉะนั้นการประชุมใหญ่ในวันที่9ก.ค.นี้จึงต้องจับตาไปที่คู่เต็งระหว่าง “ดร.เอ้” หากเจ้าตัวตอบตกลง แต่หากไม่ตกลงอาจกลับไปที่สูตรการขยับ “นายกชาย” หรือ “มาดามเดียร์” ตามที่เคยมีการพูดคุยกันก่อนหน้า ชิงกับ “อภิสิทธิ์” ซึ่งต้องจับตาไปที่เกมชิงเสียงโหวต
ขณะที่อีกคนที่ถือเป็นอีกหนึ่งผู้ท้าชิงและเปิดตัวลงชิงอย่างชัดเจนคือ“เดอะจ้อน” อลงกรณ์ พลบุตร ซึ่งต้องจับตาเช่นเดียวกันเพราะเขาคือคนแรกที่ออกมาพูดในเรื่องการปฏิรูปพรรค
ขณะที่เกมการโหวต “ราเมศ รัตนะเชวง” โฆษกพรรค ปชป. เปิดเผยว่าองค์ประชุมเลือกหัวหน้าพรรคและ กก.บห.ชุดใหม่ มีจำนวนทั้งหมด374คน ประกอบด้วย กก.บห.ชุดรักษาการ สมาชิกที่เคยเป็นหัวหน้าหรือเคยเป็นเลขาธิการพรรค1คน, ส.ส.ปัจจุบัน25คน, อดีต ส.ส.85คน, สมาชิกที่เป็นรัฐมนตรี2คน, อดีตรัฐมนตรี19คน
สมาชิกที่เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายกอบจ.) ที่พรรคส่งลงสมัคร1คน, สมาชิก อบจ. (ส.อบจ.)1คน, สมาชิกพรรคจากต่างจังหวัดมีสาขาพรรค20คน, ตัวแทนพรรคประจำจังหวัด172คน และอื่นๆ20คน
เช่นนี้จึงต้องจับตาการช่วงชิงเสียงโหวตซึ่งเป็นเสมือนด่านชี้ชะตาว่าที่สุดแล้ว “ผู้นำพรรคประชาธิปัตย์” คนใหม่จะเป็นใคร
การได้มาซึ่ง “ผู้นำค่ายสีฟ้า” เพื่อนำพาพรรคฝ่าวิกฤติ ที่จะเห็นโฉมหน้าในวันที่9 ก.ค.นี้ยังเป็นเพียงแค่บทสรุปในด่านแรกเท่านั้น เพราะด่านถัดไปคือ เกมจับขั้ว “ชิงอำนาจ” ทางการเมืองหลังจากนี้ โดยเฉพาะการโหวตเลือกนายกฯที่จะเกิดคล้อยหลังในอีกไม่กี่วันหลังจากนี้
โดยเฉพาะตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่ที่จะทำให้เห็นสัญญาณการเมืองเบื้องหน้ามากยิ่งขึ้น ก่อนหน้ามีการปล่อยข่าวทำนองว่า ประชาธิปัตย์บางส่วนอาจโหวตนายกฯให้พรรคก้าวไกล
แต่อีกสัญญาณว่ากันว่า “ผู้มากบารมี” แห่งค่ายสีฟ้า ยามนี้มองเกมยาวข้ามช็อตไปถึงสูตรพลิกขั้วจับมือตั้งรัฐบาลในอนาคต โดยเฉพาะกรณีที่ก้าวไกลตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ สอดคล้องกับกระแสข่าวเปิดดีลระหว่าง "บิ๊กเนม" ค่ายการเมืองที่ปรากฎออกมาอยู่เป็นระยะในช่วงที่ผ่านมา!