“เพื่อไทย”บนทาง 2 แพร่ง เอา“ลุง”หรือ“ก้าวไกล”
หนทางที่ "เพื่อไทย" จะตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ดูแล้วมี 2ทางเลือก ว่าจะ ผสมข้ามขั้ว "พปชร.-รทสช." หรือ จูบปาก "ก้าวไกล" ไม่ว่าเลือกทางไหน บทลงเอย อาจ จบแบบศพไม่สวย
แม้ “พรรคเพื่อไทย” พยายามแสวงหาความร่วมมือ รวมเสียงจากพรรคการเมืองต่าง ๆ เพื่อมุ่งหวังให้การจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ
ช่วงเที่ยงครึ่ง วันที่ 9 สิงหาคม พรรคเพื่อไทยแถลงข่าวกับแนวร่วมจัดตั้งรัฐบาล ล่าสุดรวม 7 พรรค จาก พรรคภูมิใจไทย 71 เสียง พรรคประชาชาติ 9 เสียง พรรคเพื่อไทรวมพลัง 2 เสียง พรรคชาติพัฒนากล้า 2 เสียง พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง พรรคพลังสังคมใหม่ 1 เสียง และพรรคท้องที่ไทย 1 เสียง รวม 228 เสียง
ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนาอีก 10 เสียง เบื้องหน้า ตอบรับที่จะหารือแนวทางทำงานร่วมกัน ส่วนเบื้องลึกดีลจบเป็นพรรคที่ 8 ในรัฐบาลเพื่อไทยอีกพรรค จะเติมเสียงเพิ่มเป็น 238 เสียง
ตัวเลขทางคณิตศาสตร์ บ่งชี้ว่าได้ 238 เสียง ณ ขณะนี้ หากดูระยะยาวแล้ว ท่าจะประคองตัวไปได้ยาก
เพราะฝั่งที่ยังไม่ได้ดึงเสียงมาร่วมมี 260 เสียง จาก 9 พรรค ประกอบด้วย พรรคก้าวไกล 149 เสียง พรรคไทยสร้างไทย 6 เสียง พรรคเป็นธรรม 1 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 40 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง ส่วน พรรคใหม่ พรรคครูไทยเพื่อประชาชน พรรคประชาธิปไตยใหม่ พรรคละ 1 เสียง
ดังนั้นหากพรรคเพื่อไทยต้องการความสำเร็จในการจัดตั้งรัฐบาล จึงจำเป็นต้อง “ดึงเสียง” ในส่วนนี้เข้ามาเติม
จึงเป็นด่านวัดใจ ที่เป็นงานยาก เพราะหากดึง “พรรค 2 ลุง” ทั้ง พลังประชารัฐ และ รวมไทยสร้างชาติ รวมถึง ประชาธิปัตย์ เข้าร่วม กระแสการเมืองย่อมตีกลับ และอาจเป็นปัญหาระยะยาวได้ หากคิดจะทวงบัลลังก์พรรคอันดับหนึ่งคืน
ในมุมวิเคราะห์ของ “สมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีต กกต. ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการเมืองและการพัฒนา ม.รังสิต ประเมินว่า พรรคเพื่อไทย ต้องดึง 40 เสียงของพลังประชารัฐมาร่วม เพื่อรวมกับเสียงที่มีตอนนี้ 238 เสียงให้ทะลุ 278 เสียง เพื่อเป็นคำตอบของการจัดตั้งรัฐบาล
สมการการเมืองตามที่ “อ.สมชัย” ระบุนั้น ประเมินอีกครั้งคือ ไม่ใช่ได้แค่ 40 เสียงจาก "พลังประชารัฐ” แต่ยังหมายอีก 3 เสียงจากพรรคเล็ก คือ “ครูไทยเพื่อประชาชน-ประชาธิปไตยใหม่-ใหม่” รวมเป็น 281 เสียง ขณะที่การโหวตนายกฯ เชื่อแน่ว่า “สว.” สายบิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร ยินดีที่จะเห็นชอบ ดัน “เศรษฐา ทวีสิน” ให้เป็นนายกฯ
ขณะที่เสียงในสภาล่างฝ่ายรัฐบาลก็จะเข้มแข็ง เพราะ “ฝ่ายค้าน” จะเหลือเสียงต่อกร 220 เสียงเท่านั้น
ในอีกมุม หากเพื่อไทยเลือกขอเสียงจาก “ก้าวไกล” ตามที่ “ภูมิธรรม เวชชยชัย” แกนนำพรรคเพื่อไทย คนใกล้ชิดทักษิณ ชินวัตร ระบุว่า จะไปขอขมา พร้อมชี้แจงเหตุผลว่า จำเป็นต้องแสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันวาระสำคัญของประเทศ ให้การโหวตนายกฯลุล่วง และนำไปสู่การได้รัฐบาลที่แก้ปัญหาให้ประชาชน และขอคืนเสียงสนับสนุนจากพรรคก้าวไกล
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เพียง 8 วัน พรรคเพื่อไทยอย่างปฏิเสธชัดเจนในการประชุมระหว่าง “เพื่อไทย-ก้าวไกล” ว่า “ไม่ต้องการเสียงของก้าวไกล” และแถลงซ้ำอีกครั้งว่า ถอด “ก้าวไกล” ออกจากพรรคร่วมรัฐบาล
สิ่งที่แกนนำพรรคเพื่อไทยทำครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ “กลืนน้ำลายตัวเอง" แต่คือการ “กลืนเลือด”
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การแสวงหาความร่วมมือ โดยเจาะจงขอเสียง “ก้าวไกล” ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงประจักษ์พยานว่า “2 พรรคเล่นเกมฮั้ว” ตามที่ “สว.”ตั้งแง่ และตั้งเป็นปมหวาดระแวง ซึ่งแปรผลลัพธ์ได้ว่า แคนดิเดตนายกฯจากเพื่อไทย ที่ชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” อาจไม่ได้รับเสียงโหวตจาก “สว.”
ดังนั้น จึงเป็นจุดวัดใจว่า หาก “เพื่อไทย” ขอเสียง “ก้าวไกล” และได้เสียงดังหวัง ทั้ง 149 เสียง ผสมกับแต้มที่มี 238 เสียง จะได้เสียงรวม 387 เสียง ซึ่งเพียงพอที่จะส่ง “เศรษฐา” ให้เป็นนายกฯ แต่ก็ต้องยอมเสี่ยงกับอนาคตทางการเมือง ที่อาจเผชิญเกมเร็วของ “นิติสงคราม” ทั้งปมเลี่ยงภาษี โยงสอบตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160(4) หรือกรณีศาลรัฐธรรมนูญถือคดียุบพรรคก้าวไกลไว้ในมือ
ขณะเดียวกันในบทบาทของ “สว.” ที่แม้จะเหลือ 9 เดือน แต่เกมในสภาฯ ต้องมองยาว หากไม่ได้รับความไว้วางใจจาก “สภาสูง” ย่อมเป็นจุดเสี่ยงที่เกมในสภาฯ อาจจะแพ้ได้ โดยเฉพาะกลไกที่พรรคเพื่อไทยวางเป้าหมายพา “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” กลับบ้าน
นอกจากนั้นแล้ว หากเกมดึงก้าวไกล ร่วมออกเสียง ย่อมหมายความว่า “การต่อรอง” ร่วมรัฐบาลย่อมมีโอกาสเกิดขึ้น เพราะจนถึงขณะนี้ “ชัยธวัช ตุลาธน” เลขาธิการพรรคก้าวไกล ยังไม่ถอดใจที่จะได้เข้าร่วมรัฐบาล
ดังนั้น เสียงจาก “พรรค” ที่ดึงมารวมขั้วใหม่เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเพื่อไทย ทั้ง “ภูมิใจไทย-ชาติไทยพัฒนา-ชาติพัฒนากล้า” รวม 83 เสียง ซึ่งเคยปฏิเสธเสียงแข็ง ไม่แก้มาตรา 112 และไม่เอาก้าวไกล อาจต้องทบทวนว่า จะจับมือเพื่อไปต่อหรือพอแค่นี้ หาก 83 เสียงถอย แน่ชัดว่า สว.ต้องใส่เกียร์ถอยเช่นกัน
นับจากวันนี้จนถึงวันโหวตนายกฯ ที่คาดหมายว่าจะเกิดขึ้นวันที่ 18 สิงหาคม เพื่อไทยกำลังมาถึงทาง 2 แพร่งอีกครั้ง ที่ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ล้วนเจ็บ และจบแบบศพไม่สวย
ดังนั้น ต้องจับตา “การพลิกขั้ว” การเมือง และการผสมสูตรว่า จะผลักดันให้ “เพื่อไทย” ตั้งรัฐบาลได้ “ฉลุย" หรือจะจอด และเปิดทางให้ นอมินีของ “ขั้วอำนาจเดิม” เข้ามาคุมอำนาจประเทศแบบเบ็ดเสร็จต่อไป.