อยากได้ประชาธิปไตยควรคิดให้ไกลกว่าการแก้ตัวหนังสือ
มีแนวคิดหนึ่งของเศรษฐศาสตร์ที่เสนอว่า การเมืองเป็นเกม มีผู้เล่นสองกลุ่ม คือ ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และพรรคการเมืองซึ่งเป็นฝ่ายนำเสนอนโยบายต่อประชาชน ประชาชนจึงเป็นผู้ซื้อและพรรคการเมืองเป็นผู้ขาย
เมื่อเป็นการซื้อขายก็ไม่ต่างอะไรกับการมีกลไกตลาด ดังนั้น แนวคิดนี้จึงเสนอว่า การแข่งขันทางการเมืองเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาของสังคม ดีกว่าปล่อยให้พรรคใดพรรคหนึ่งผูกขาดแต่เพียงพรรคเดียว
นอกจากนี้แล้ว ระบบการเมืองที่ดี คือ ระบบที่ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเป็นกลาง ประชาชนคิดและตัดสินใจอย่างมีเหตุผล โดยการเปรียบเทียบประโยชน์และต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการเลือกพรรคใดพรรคหนึ่ง
ประชาชนมีโอกาสแสดงความเห็นของตนเองได้อย่างอิสระ พรรคการเมืองได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมกันเพื่อนำเสนอนโยบายของตนให้ประชาชนได้รับรู้และตัดสินใจ
อย่างไรก็ตาม การจะทำให้กลไกทางการเมืองเดินหน้าเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมได้ โจทย์ที่จะต้องขบให้แตกมีอยู่สองข้อด้วยกัน
ข้อแรก คือ ทำอย่างไรประชาชนจึงจะสามารถคิดและแสดงออกถึงความต้องการที่แท้จริงของตนให้พรรคการเมืองได้รับรู้ มีข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับนโยบายและผู้สมัครของแต่ละพรรคการเมืองอย่างเพียงพอเพื่อจะได้ตัดสินใจเลือกผู้แทนได้อย่างมีเหตุมีผล ไม่ได้เลือกเพราะความชอบ ไม่ได้เลือกเพราะกระแส
ข้อที่สอง คือ ทำอย่างไรพรรคการเมืองจึงจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้ก่อนการเลือกตั้ง นักการเมืองลงสมัครรับเรื่องตั้งเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเอง โดยนิยามของคำว่า “ประโยชน์” สำหรับผู้สมัครแต่ละคนมีความแตกต่างกัน
บางคนมีความสุขจากการได้รับใช้ชาติ บางคนต้องการสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูล แต่ก็มีเหมือนกันที่เล่นการเมืองเพราะต้องการแสวงหาอำนาจและความมั่งคั่ง ซึ่งกลุ่มหลังสุดนี้เองที่เป็นปัญหาใหญ่ของการพัฒนาประชาธิปไตย
การใช้กฎหมายบังคับให้พรรคการเมืองรักษาสัญญาทำได้ยากมากในทางปฏิบัติ เพราะพิสูจน์ได้ยากว่าพรรคการเมืองได้ทำตามสัญญาหรือยัง
พรรคการเมืองอาจจะอ้างว่ากำลังดำเนินการอยู่แต่ยังไม่เสร็จสิ้น แล้วคอยผัดวันประกันพรุ่งซื้อเวลาไปเรื่อยๆ ซ้ำร้ายหน่วยงานที่จะเข้ามาตรวจสอบเองก็อาจถูกแทรกแซงโดยพลังทางการเมืองได้เช่นกัน
ทางออกหนึ่งที่เป็นไปได้ก็คือ การส่งเสริมให้มีการลงโทษโดยภาคประชาชน ไม่ใช่ด้วยการไปประท้วงหน้าทำเนียบ ไม่ใช่ด้วยการเดินขบวนปิดถนน
แต่เป็นการลงโทษด้วยการไม่เลือกพรรคการเมืองนั้นอีกในการเลือกตั้งครั้งต่อไปหากไม่รักษาสัญญาที่เคยให้ไว้
การทำเช่นนี้จะบังคับให้พรรคการเมืองต้องคิดไกล ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ระยะสั้น ถึงบางคนในพรรคหวังรวยด้วยการเล่นการเมืองเพียงสมัยเดียวแล้วโกงกินสะบั้นหั่นแหลก
แต่สมาชิกพรรคคนอื่นที่หวังจะอยู่ยาวก็จะรวมตัวกันคอยคัดค้าน แม้จะไม่ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างน้อยยังก็ควบคุมไม่ให้เหล่าคนโกงชาติโกงแผ่นดินเหล่านี้มูมมามจนเกินไป
นอกจากนี้แล้ว การที่สังคมไทยขี้ลืม หรือรักกันงมงายจนไม่ลืมหูลืมตา เลยทำเป็นมองข้ามเรื่องที่ความจริงเป็นเรื่องที่ต้องแสดงความรับผิดชอบทำให้นักการเมืองได้ใจ
คำสัญญาต่างๆ ที่ให้ไว้ตอนเลือกตั้งก็เป็นแค่สัญญาลมปากไม่จำเป็นต้องทำตามอย่างเคร่งครัด อยากได้อะไรรับปากหมดเอาไว้ก่อน แต่พอเอาเข้าจริงกลับไม่ได้เหมือนที่เคยตกลงไว้ กลายเป็นวังวน จนทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งพาลเบื่อการเมืองไปในที่สุด
มีการพูดถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้สะท้อนเจตนารมณ์ที่แท้จริงของประชาชน แต่จะมั่นใจได้อย่างไรว่าตัวแทนที่เข้ามามีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญจะเข้าใจถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงของกลุ่มคนที่ตนเป็นตัวแทนอย่างสมบูรณ์
เพราะในทางปฏิบัติแล้ว การจะทำเช่นนั้นได้จะต้องมีการระดมความเห็นกันตั้งแต่ระดับรากหญ้า แล้วเก็บรวมรวมข้อมูลทั้งหมดมาประมวลเป็นภาพรวมพร้อมด้วยตัวเลขเชิงสถิติประกอบการตัดสินใจ
ไม่ใช่การนึกคิดเอาเองของคนเพียงหยิบมือเดียว และคนที่มาร่างรัฐธรรมนูญจะต้องทำไปเพื่อประโยชน์ของมหาชนอย่างแท้จริงไม่มีวาระซ่อนเร่นส่วนตัว
สังคมไทยถูกทำให้เชื่อว่าเราต้องการรัฐธรรมนูญ เมื่อมีรัฐธรรมนูญแล้วเดี๋ยวอะไรอะไรก็จะดีขึ้นมาเอง ลัทธิรัฐธรรมนูญนิยมได้เปล่งรัศมีบดบังประเด็นอื่นๆ ที่ควรทำก่อนหรือทำควบคู่กันไปกับการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการปฏิรูปความคิดและพฤติกรรมทางการเมืองของคนไทย
เพราะบรรยากาศทางการเมืองในตอนนี้คนเห็นต่างมองหน้ากันไม่ติด การแก้ไขความคิดและพฤติกรรมทำได้ยาก ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว อะไรที่แก้ยากแก้นานก็ยิ่งต้องเริ่มให้เร็ว เพราะยิ่งเริ่มช้ากว่าจะแก้ปัญหาได้ก็ยิ่งนานเข้าไปอีก
ปัญหาในบ้านเมืองเราตอนนี้เกิดจาก “คน” ไม่ได้เกิดจากตัวหนังสือ หากมัวแต่มาสนใจกับการแก้ตัวหนังสือเพียงอย่างเดียวโดยหวังว่าตัวหนังสือจะไปแก้พฤติกรรมของคนก็ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีประเทศไทยจึงจะมีประชาธิปไตยของจริงเสียที
คอลัมน์ หน้าต่างความคิด
ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว
คณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์