‘ทักษิณ’จุดเปลี่ยนการเมือง ‘ศึกขั้วรัฐบาล’ ผ่า ‘3สูตร’ ปชป.รอเสียบ
จังหวะ“นายใหญ่” เพื่อไทยเตรียมคืนสู่อิสรภาพ ท่ามกลางสัญญาณขยับหมากครั้งสำคัญหมดช่วงฮันนีมูนรัฐบาลเศรษฐา แปรเปลี่ยนไปสู่การ “ล้างไพ่” ครั้งใหญ่!!
“อานิสงส์”จากประกาศระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 หลักใหญ่ใจความอยู่ที่การ“คุมขังนอกเรือนจำ”
ทำให้หลายวันที่ผ่านมา มีการจับจ้องไปที่ชื่อของ “ทักษิณ ชินวัตร”อดีตนายกรัฐมนตรี “นายใหญ่เพื่อไทย” ที่เวลานี้ยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ และครบกำหนด120 วันที่รักษาตัวนอกเรือนจำในวันที่22ธ.ค.ที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองหลังจากนี้
อย่างที่รู้กันว่า อำนาจในพรรคเพื่อไทยเวลานี้ ลึกๆแล้วมีศูนย์รวมที่เป็นเสมือนพระอาทิตย์4ดวง
ดวงแรก คือ “เศรษฐา ทวีสิน” เบอร์หนึ่งตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล
ดวงที่สอง คือ “แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย
ดวงที่สาม คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ สตรีหลังม่านพรรคเพื่อไทย
และ ดวงที่สี่ เป็นใครไปไม่ได้นอกจากทักษิณ ในฐานะ “ผู้คุมเกมอำนาจตัวจริง”
การคืนสู่อิสรภาพของ “ทักษิณ” ทำให้มีการจับตาไปที่องศาการเมืองที่จะกลับมาร้อนแรงอย่างแน่นอน ถอดรหัส “2ซินาริโอ” การเมือง
ซินาริโอแรก คือ ก่อนปีใหม่ ซึ่งคาดว่าหากทักษิณได้รับ “อานิสงส์” จากประกาศระเบียบกรมราชทัณฑ์ เขาจะคืนสู่อิสรภาพแต่ยังถูกคุมขังนอกเรือนจำ ในช่วงวันที่22ธ.ค.
ซินาริโอที่สอง คือ เดือนก.พ.2567 ซึ่งซินาริโอนี้ไม่ได้เหนือความคาดหมายมากนัก
เพราะอย่างที่รู้กันทักษิณได้รับพระราชทานอภัยโทษ โดยเหลือโทษจำคุกราว1ปีเศษ ซึ่งตามเกณฑ์ “พักโทษ” ของกรมราชทัณฑ์ ระบุว่า “จะต้องเป็นนักโทษที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป มีภาวะป่วยชราภาพ และต้องโทษไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของโทษจำคุก หรือต้องโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปขึ้นอยู่กับว่าอย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่า”
หากนับตั้งแต่วันที่เขาเดินทางกลับไทยและถูกนำตัวส่งศาลเมื่อวันที่22ส.ค. เขาจะเข้าเกณฑ์พักโทษในเดือนก.พ.2567
แต่ไม่ว่าจะเป็นซินาริโอใดเชื่อได้เลยว่า การเมืองในช่วงครึ่งปีหน้าเกิดจุดพลิกผันสำคัญอย่างแน่นอน ที่แน่ๆคือ หลังวันที่11พ.ค.2567 ซึ่งสว.ทั้ง250 คนครบวาระ จะทำให้การเมืองโดยเฉพาะหากมีการเปลี่ยนตัวนายกฯจะไม่มี “หมากส.ว.” ที่จะมาเป็นเสี้ยนหนามอีกต่อไป
เช่นนี้ต้องจับตา โฉมหน้าครม.เศรษฐา ที่เวลานี้ยังว่างอยู่2ตำแหน่งทั้งในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ในโควตา “ไผ่ ลิกค์” ที่ติดปัญหาการตีความคุณสมบัติ เช่นเดียวกันโควตาพรรคเพื่อไทย ในส่วนของ “พิชิต ชื่นบาน” ที่เกิดปัญหาเดียวกัน
- ปชป.‘พรรคอะไหล่’ รอเสียบรัฐบาล
ไม่ต่างจาก “สมการจับขั้ว” รัฐบาลซึ่งเวลานี้มี11พรรค315 เสียง (314 เสียงเดิม+วุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี ซึ่งถูกขับออกจากพรรคก้าวไกลย้ายเข้าสังกัดพรรคชาติพัฒนากล้า) ที่มีการจับตาไปที่การเขย่าสูตรภายหลังจากการประชุมใหญ่วิสามัญพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่9ธ.ค.ที่ผ่านมามีมติเลือก “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” เป็นหัวหน้าพรรคคนที่9 ไม่ต่างจากเลขาธิการพรรคที่ตกเป็นของ “เดชอิศม์ ขาวทอง” ตามความคาดหมาย
ย้อนกลับไปในช่วงของการจัดตั้งรัฐบาล ทั้ง“เฉลิมชัย” และ“เดชอิศม์” ถือเป็นตัวละครคนสำคัญใน “อภิมหาดีลข้ามขั้ว”
โดยเฉพาะ“เดชอิศม์” ยอมรับแบบชัดๆบินไปพบ “นายเก่า” ที่ประเทศฮ่องกง
ไม่ต่างจาก “16สส.” กลุ่มเพื่อนเฉลิมชัย จาก21คน ที่ยกมือโหวตเศรษฐา เป็นนายกฯ
แต่เมื่อตกขบวน จากปัญหาภายในมุ้งของตัวเองที่ปิดจ๊อบไม่ลง ทำให้ปลายทางพับดีลพร้อมขอให้กลับสะสางเรื่องในมุ้งตัวเองให้เสร็จสิ้นเสียก่อน
ฉะนั้นเมื่อได้ตัวผู้นำพรรคคนใหม่ แม้ตัว“เฉลิมชัย”จะบอกว่าประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคอะไหล่ และเวลานี้ยังเป็นฝ่ายค้านที่สมบูรณ์และเข้มแข็ง
แต่หากจับจังหวะรวมถึงสัญญาณจากค่ายสีฟ้าซึ่งช่วงหลังมักโปรยยาหอม โดยเฉพาะประเด็นระเบียบราชทัณฑ์ขังนอกคุกซึ่ง “ชัยชนะ เดชเดโช” รองหัวหน้าพรรคในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจฯ สภาผู้แทนราษฎร บอกว่า “ไม่เอื้อทักษิณ”
จึงถูกมองว่า ไม่ต่างอะไรกับการส่งสัญญาณ“ทอดไมตรี” ถึง “นายใหญ่ชั้น 14” ที่กำลังคืนสู่อิสรภาพพร้อมเสียบร่วมรัฐบาลหลังจากนี้อย่างแน่นอน!
- ศึกนโยบายปมร้อนสั่นคลอน
ยิ่งในยามที่เริ่มปรากฏภาพความไม่ลงรอยกันภายในขั้วรัฐบาล ล่าสุด เป็นคู่“พรรคเพื่อไทย” และ “ภูมิใจไทย” จากประเด็นนโยบาย“ค่าแรง” ซึ่งที่ประชุมครม.วันที่12ธ.ค.ที่ผ่านมา ตีกลับมติคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 22 หรือ บอร์ดไตรภาคี ที่เห็นชอบการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2567 เพิ่มขึ้นวันละ 2-16 บาท หรือเฉลี่ย 2.37% ก่อนนำกลับเข้ามาในครม.ก่อนสิ้นปี 2566 นี้
หากยังจำกันได้ในวันแถลงนโยบายรัฐบาลเมื่อวันที่12 ก.ย.ที่ผ่านมา“นายกฯเศรษฐา”ประกาศกลางสภา“ปรับค่าแรงขั้นต่ำที่ 400 บาท โดยเร็วที่สุด”
ทว่าตัดภาพมาที่ภูมิใจไทย “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รมว.แรงงาน กลับพูดถึงเรื่องนี้ว่า“ในปีนี้ มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอย่างแน่นอนแต่อาจไม่ใช่ 400 บาททั่วประเทศเพราะฐานของค่าแรงขั้นต่ำแต่ละจังหวัดไม่เท่ากัน โดยจะพิจารณาบนพื้นฐานของข้อมูลใน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน อัตราเงินเฟ้อ”
- ผ่า3สูตร“เขย่าขั้วรัฐบาล”
ฉะนั้นหากจะถอดสูตร “เขย่าขั้วรัฐบาล” แล้วดึงพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลเวลานี้มี315เสียง จะแบ่งได้อย่างน้อย3สูตร
สูตรแรก รัฐบาล315 เสียง ตัดภูมิใจไทยออก71เสียง แล้วดึงประชาธิปัตย์เข้าร่วมซึ่งคาดว่าจะมีเฉพาะกลุ่มเพื่อเฉลิมชัยราว20เสียง เสียงรัฐบาลจะอยู่ที่264 เสียง
สูตรที่สอง รัฐบาล 315 เสียง ภูมิใจไทยยังอยู่ แต่เปลี่ยนไปตัดพลังประชารัฐ 40 เสียงออก ท่ามกลางกระแสข่าวที่อาจมีการยึดกระทรวงเกษตรคืน ยิ่งไปกว่านั้นอาจลามไปถึงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เวลานี้มี “บิ๊กป๊อด” พัชรวาท วงษ์สุวรรณ นั่งเสนาบดี รวมกับประชาธิปัตย์20เสียง เสียงรัฐบาลจะอยู่ที่ 295 เสียง
สูตรที่สาม รัฐบาล 315 เสียง ตัดรวมไทยสร้างชาติ 36เสียง โดยเฉพาะชนวนเหตุการทวงคืนกระทรวงพลังงาน อันเป็นกระทรวงที่เป็นที่หมายปองของ “ส.” เพื่อไทย และอาจเป็นเกมบีบให้ รทสช.ถอนตัวก็อาจเข้าทางประชาธิปัตย์20เสียงที่รอเสียบร่วมรัฐบาล หากเป็นไปตามสูตรนี้เสียงรัฐบาลก็จะอยู่ที่299เสียง
อย่างที่รู้กันว่าในทางการเมืองอะไรก็เกิดขึ้นได้ ทำไปทำมา20เสียงประชาธิปัตย์ อาจกลายเป็นอะไหล่ชิ้นสำคัญที่พรรคเพื่อไทยเลือกใช้สอยหลังจากนี้
- ลุ้น3คดีการเมืองเดิมพันจุดเปลี่ยน
เหนือไปกว่านั้นที่ต้องจับตาคือบรรดาคดีความของบรรดา “บิ๊กเนมการเมือง” ซึ่งถูกมองว่าอาจกลายเป็น “จุดพลิกผัน” และมีผลไปถึงเกมเขย่าสูตรที่จะเกิดขึ้นในเบื้องหน้า
คดีแรก คือคดีของ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ในฐานะ อดีตรมว.คมนาคม กรณียังคงไว้ซึ่งหุ้นส่วนและยังคงเป็นผู้ถือหุ้น และเจ้าของห้างหุ้นจำกัดบุรีเจริญคอนสตรัคชั่น อันเข้าข่ายขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยในวันที่17 ม.ค.2567
คดีที่สอง คือ คดีถือหุ้นสื่อของ“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในบริษัทไอทีวี ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานภาพการเป็น สส.ของพิธา ซึ่งคาดว่า น่าจะนัดลงมติและเผยแพร่ผลการพิจารณาคดีภายในเดือนม.ค.2567หรือช้าสุดก็คงไม่น่าจะเกินกลางเดือนก.พ.2567
คดีที่สาม คือ คดีล้มล้างการปกครองกรณี “พิธา” และพรรคก้าวไกล เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าศาลรัฐธรรมนูญจะนัดวันลงมติและอ่านคำวินิจฉัยไม่เกินเดือนม.ค.2567 หรืออย่างช้าสุด ไม่เกินก.พ.2567
โดยเฉพาะคดีที่3 คือคดีล้มล้างการปกครอง ซึ่งพรรคก้าวไกลเวลานี้อยู่ในสภาวะ “เสี่ยงสูง” ที่จะถูกยุบพรรค แม้แต่ “ศิริกัญญา ตันสกุล”รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นแกนนำคนสำคัญ ยังยอมรับ “กังวลเรื่องนี้”
- จับตาเทศกาลช้อน“ผึ้งสีส้ม”
เป็นเช่นนี้ย่อมต้องจับตาเพราะอาจเกิดสภาวะ “ผึ้งสีส้ม” แตกรังรอบใหญ่อีกรอบ นอกเหนือจากบรรดาสส.ค่ายส้ม ที่ว่ากันว่าเริ่มเคลื่อนไหว เดินสายหาสังกัดใหม่ บางรายถึงขั้นถอดใจอยู่ต่อไปก็ไม่มีอนาคตเพราะไม่ใช่สายตรง “โปลิตบูโร” แล้ว
“ฝั่งรัฐบาล” เวลานี้เริ่มเดินสายช้อน “ผึ้งสีส้ม” เข้ารังใหม่ ทั้งพรรคเพื่อไทย เล็งเป้าไปที่กลุ่มกทม. ช้อนไปไว้ที่ “พรรคฝากเลี้ยง” หวังสางแค้นสีส้มที่รุกคืบในรอบที่แล้ว
ไม่ต่างจาก “พรรคพ่อใหญ่บุรีรัมย์” ที่เริ่มเดินสายช้อน “ผึ้งสีส้ม” เหมือนเมื่อครั้งยุบพรรคอนาคตใหม่ หวังสร้างแต้มต่อรองพรรคแกนนำ ทั้งโควตาหากมีการปรับครม.ในอนาคต
รวมไปถึงสูตรเตะภูมิใจไทยออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่ง “บิ๊กสีน้ำเงิน” ถึงขั้นโชว์ตัวเลขที่มีอยู่ในมือ80+ ท้าทาย “ก็ลองเตะออกดู”
ไม่ต่างจากพรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคแกนนำที่อ่านเกมตรงนี้เป็นอย่างดี จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลจำเป็นต้องใช้ “ประชาธิปัตย์” เป็น “พรรคอะไหล่” เพื่อกำราบภูมิใจไทยซึ่งเป็นพรรคลำดับสอง กระทบชิ่งไปถึงพรรคร่วมพรรคอื่นๆไม่ให้อหังการมากนัก
ต้องจับตาองศาการเมืองในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ “นายใหญ่” เพื่อไทยเตรียมคืนสู่อิสรภาพ ท่ามกลางการจับจ้องไปที่การขยับหมากครั้งสำคัญที่อาจหมดช่วงฮันนีมูนรัฐบาลเศรษฐา แปรเปลี่ยนไปสู่การ “ล้างไพ่” ครั้งใหญ่เลยทีเดียว!!