เสวนา The Next Chapter เห็นพ้อง ภาวะ'โลกเดือด' ทำเผชิญความท้าทายใหม่ 4 ด้าน
วงเสวนา The Next Chapter "เจาะลึกบทใหม่ ในโลกใบเดิม" เห็นพ้อง ภาวะ“โลกเดือด” ทำประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ 4 ด้าน จี้ผู้มีอำนาจตระหนักรู้ เอาจริงเอาจังกับการแก้ไขปัญหา เพื่อให้คนไทย ธุรกิจไทยอยู่รอด ท่ามกลางบริบทใหม่ของโลกใบเดิม
ที่ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานหลักสูตร Mission We ร่วมเสวนา The Next Chapter "เจาะลึกบทใหม่ ในโลกใบเดิม" โดยได้รับเกียรติจาก ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ ดร.สันติธาร เสถียรไทย นักเศรษฐศาสตร์ และคณะกรรมการนโยบายการเงิน ร่วมพูดคุยค้นหา"ทางออก"เพื่อกระตุ้นเตือนผู้มีอำนาจ พร้อมฉายภาพดิสรัปชันที่เกิดขึ้น และกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ให้กับภาคธุรกิจได้เตรียมการรับมือ
โดยวงเสวนาเห็นตรงกันว่า เรากำลังเผชิญกับภาวะ “โลกเดือด” ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่4 ด้านทั้งปัญหา ประกอบด้วย Geopolitics สงครามการค้าระหว่างสองขั้วมหาอำนาจ และสงครามการสู้รบที่เกิดขึ้นทั้งไกลและใกล้บ้านเรา ซึ่งส่งผลกระทบทั้งทางตรง และทางอ้อมต่อประเทศไทย โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ
Climate change ที่รุนแรงเกินกว่าเป็น Global warming, แต่น่าจะเป็น Global boiling ไปแล้ว ซึ่งจะทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรง ภัยแล้งรุนแรง กระทบต่อที่อยู่อาศัย และการเพาะปลูกส่งผลต่อความมั่นคงทางด้านอาหาร โดยประเทศไทยยังไม่ลงมือจัดการ ด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง และอีกไม่นานผู้ประกอบการ SMEs จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากการกีดกันการค้าด้วยกำแพงภาษี Cabon Tax ในการส่งสินค้าไปขายยังยุโรป และอเมริกา
Demographic Disruption จากรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีจำนวนประชากรผู้สูงอายุเติบโตเร็วที่สุดในโลก จากประชากร 66 ล้านคน ไทยมีจำนวนผู้สูงอายุประมาณ 13 ล้านคน หรือคิดเป็น 19% โดยผู้สูงอายุทั่วโลกมีประมาณ 1,109 ล้านคน จากจำนวนประชากรโลก 8,000 ล้านคน หรือประมาณ14%ของประชากรโลก และมีการคาดการณ์ว่าในทศวรรษนี้ จะเพิ่มไปถึง 28% หรือประมาณ 20 ล้านคน ภายในสิบปี
ปัญหาสำคัญคือส่วนใหญ่ ”แก่ จน เจ็บ“ ทำให้นอกจากไม่มีแรงงานที่จะมาสร้างรายได้ให้กับประเทศ กำลังซื้อหดหาย ยังต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้สูงวัยที่จนและเจ็บ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยตรง แถมเด็กเกิดใหม่มีอัตราลดลงอย่างมากเหลือเพียง 500,000 รายต่อปี เกิดน้อยกว่าตาย โดยคาดการณ์ว่าภายในปี 2083 ถ้าอัตราการเกิดและตายเป็นแบบนี้จะทำให้ประเทศไทยเหลือประชากรเพียงครึ่งหนึ่งของปัจจุบันปัจจุบันคือ 33 ล้านคน
และในส่วนของ Technology Disruption โดยเฉพาะ Generative AI ที่สามารถเข้ามาแย่งงานของคนไทย ถ้าเราไม่ปรับตัว ไม่ปฏิรูปการศึกษา ยังสอนให้เด็กไทยท่องตำราแข่งกับ AI เราต้องเร่งปฏิรูป สอนให้เด็กไทยสามารถใช้ประโยชน์จากAI ในการทำงานสร้างรายได้ ได้ง่ายขึ้น ในต้นทุนที่ต่ำลง
ปัจจัยปัจจัยทั้งสี่เรื่องจะส่งผลกระทบโดยตรงกับสภาพความเป็นอยู่แลเศรษฐกิจของไทย ซึ่งผู้ที่มีอำนาจต้องตระหนักรู้ และเอาจริงเอาจังกับการแก้ไขปัญหา เพื่อให้เราอยู่รอด ในบริบทใหม่ของโลกใบเดิม