สสรท.-สรส.ยื่นข้อเสนอด่วนถึงนายกฯ แก้ปัญหา 'แรงงาน' เพื่อสวัสดิการดีขึ้น
สสรท.-สรส. ยื่นหนังสือถึง 'นายกฯ' ชงข้อเสนอเร่งด่วน-รื้อกฎระเบียบ แก้ไขปัญหา 'แรงงาน' เนื่องในวันกรรมกรสากล เพื่อสวัสดิการที่ดีขึ้น พัฒนาเศรษฐกิจสังคมของประเทศยั่งยืน
เมื่อวันที่ 1 พ.ค.2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) นำโดยนายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธาน สสรท. ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน เรื่อง ข้อเสนอวันกรรมกรสากล ปี 2567 ผ่านนายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง มีใจความดังนี้
โดยวันที่ 1 พ.ค.ของทุกปี กรรมกรหรือผู้ใช้แรงงานทั่วโลกต่างพร้อมใจกันออกมาร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในวันกรรมกรสากล หรือ MAY DAY และรำลึกถึงคุณูปการของกรรมกรในยุคของการต่อสู้เพื่อให้กรรมกรหรือผู้ใช้แรงงานทั่วโลก ได้มีความมั่นคงในการทำงาน ความปลอดภัยในการทำงาน ค่าจ้าง สวัสดิการ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนเสรีนิยมครอบโลก ได้มีการวางแผนออกแบบการจ้างงานที่เรียกว่าการจ้างงานแบบยืดหยุ่น ซึ่งก็คือ การจ้างงานระยะสั้น ชั่วคราว แพร่ระบาดไปทั่วทั้งโลก
ทั้งภาครัฐและเอกชน หากมองถึงความสำเร็จของฝ่ายทุนก็ถือว่าเป็นการวางแผนที่แยบยล แต่อีกด้านหนึ่ง กรรมกร ผู้ใช้แรงงานมีความยากลำบากมากขึ้น ความไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัยในการทำงาน ค่าจ้างที่ต่ำ ทำให้คนงานไม่สามารถวางแผนในชีวิตได้เลย ความยากลำบากนี้ส่งผลให้ชีวิตอยู่ในสภาวะความยากจน มีหนี้สิน ทำงานหนัก ชั่วโมงการทำงานยาวนานขึ้น ส่งผลต่อสุขภาพ บวกกับการกำหนดนโยบายของรัฐที่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนทำให้ประเทศไทยถูกจัดลำดับให้อยู่ในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำในทุกด้านสูงที่สุดในโลก
การพัฒนาการทางเทคโนโลยีทำให้เกิดเครื่องมือ เครื่องจักรสมองกลที่ทันสมัยและได้ถูกนำเข้ามาใช้ทำงานแทนมนุษย์ คนงานจำนวนมากต้องตกงาน รวมทั้งการเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิดที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ส่งกระทบต่อการซ้ำเติมให้ต้องลำบากมากยิ่งขึ้น ชีวิตของคนทำงาน ผู้ใช้แรงงาน ทั้งแรงงานในระบบ นอกระบบ แรงงานอิสระต้องเผชิญกับรูปแบบการจ้างงานที่เปลี่ยนไปไร้ความมั่นคง ในขณะที่กฎหมายต่าง ๆ ที่ใช้มาเป็นเวลานานกลับไม่สอดคล้องและคุ้มครองแรงงานได้จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป พลังของคนทำงานมีอำนาจการต่อรองลดน้อยลง อันเป็นเหตุเพราะกฎหมายและกติกาสากลที่รัฐบาลยังไม่รับรอง
จะส่งผลกระทบระยะยาวต่อการฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจของประเทศจากภาวการณ์ขาดรายได้ รายได้ไม่พอกับรายจ่าย มีหนี้สินมาก ภาระทางสังคมสูง กิจการของรัฐถูกถ่ายโอนให้เอกชนดำเนินการแทนรัฐ ประชาชนต้องแบกรับภาระที่แพงเพื่อผลกำไรของเอกชน เช่น เรื่องพลังงาน น้ำมัน ก๊าซ ไฟฟ้า น้ำประปา ระบบขนส่ง ระบบสื่อสารโทรคมนาคม ล้วนแต่เป็นการเพิ่มรายจ่ายสร้างภาระซ้ำเติมแก่ประชาชน และผู้ใช้แรงงาน ทุกปีในวันสำคัญนี้มีการยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาล แต่ปัญหาความเดือดร้อนของคนทำงาน ผู้ใช้แรงงานยังดำรงอยู่ จึงมีความจำเป็นในการยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลเนื่องในวันกรรมกรสากล ประจำปี 2567 (2024) เพื่อให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาของผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ดังนี้
ข้อเสนอต่อรัฐบาล เนื่องในวันกรรมกรสากล ปี 2567
- ข้อเสนอเร่งด่วน
1. รัฐต้องกำหนดค่าจ้างแรงงานที่เป็นธรรมให้ครอบคลุมผู้ใช้แรงงานทุกภาคส่วน
1.1 รัฐต้องปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 492 บาท เท่ากันทั้งประเทศ
1.2 กำหนดนิยามค่าจ้างขั้นต่ำแรกเข้าให้มีรายได้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพของตนเองและครอบครัว 2 คน ตามหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ และต้องเท่ากันทั้งประเทศ ครอบคลุมทั้งแรงงานภาคเอกชน และการจ้างงานในภาครัฐ
1.3 กำหนดให้มีโครงสร้างค่าจ้างและมีการปรับค่าจ้างทุกปี เพื่ออนาคตที่ดีของผู้ใช้แรงงาน
1.4 รัฐต้องปรับเงินเดือนและบัญชีโครงสร้างเงินเดือนของพนักงานรัฐวิสาหกิจตามข้อเสนอของ สรส.
2. รัฐต้องลดรายจ่ายของประชาชนลง เพื่อเพิ่มรายได้ เพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน และผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในภาพรวมได้อย่างแท้จริง
2.1 ควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในการดำรงชีพของประชาชนในราคาที่เป็นธรรม
2.2 ลดราคาน้ำมัน ก๊าซ พร้อมกับการปรับโครงสร้างการกำหนดราคาใหม่ เลิกเก็บเงินที่ซ้ำซ้อนทั้งระบบภาษี และ เก็บเงินเข้ากองทุนต่าง ๆ ทำให้ประชาชนต้องจ่ายราคาต่อลิตรสูงมาก
2.3 ลดราคาค่าขนส่ง ค่าเดินทาง ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ต รัฐต้องไม่ปล่อยให้กิจการเหล่านี้ตกไปอยู่ในการบริหารจัดการของกลุ่มทุนเอกชน เพราะเป็นความสำคัญและจำเป็นของประชาชนในการดำรงชีพ
2.4 ลดราคาค่าไฟฟ้าที่ปรับราคาสูงขึ้นอย่างมาก จากการบริหารจัดการด้านไฟฟ้าที่ผิดพลาด ทำให้ปริมาณไฟฟ้าสำรองเกินความต้องการ การทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับบริษัทผลิตไฟฟ้าเอกชน ถึงแม้ไม่ผลิตไฟฟ้าแต่ประชาชนจะต้องจ่าย ที่เรียกว่า
“ค่าพร้อมจ่าย” ทำให้ประชาชนทุกคน ทุกครัวเรือน สถานประกอบการ โรงเรียน โรงพยาบาล ศาสนสถาน หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ฯลฯ ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก และควรจัดวางระบบการบริหารจัดการระบบไฟฟ้าใหม่ เลิกสัญญาทาส ที่รัฐทำกับกลุ่มทุนผลิตไฟฟ้าเอกชน โดยหน่วยงานของรัฐ เช่น กฟผ./กฟภ./กฟน. เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า ร้อยละ 70เพื่อความมั่นคงเรื่องพลังงานไฟฟ้า
3. รัฐบาลต้องสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติ อากาศสะอาดเพื่อสุขภาพแบบบูรณาการ (ฉบับประชาชน) พ.ศ. ….
1. รัฐต้องหยุดการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในทุกรูปแบบ และให้มีการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพ
ในการให้บริการที่ดี มีคุณภาพ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน
1.1. ยกเลิกนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการยกเลิกการออก พ.ร.บ.การขนส่งทางราง พ.ศ. .... ยกเลิกการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership: PPP) ให้มีการตรวจสอบโครงต่าง ๆ ทั้งเรื่องมาตรฐาน และราคา ที่เป็นธรรมต่อประชาชน ให้มีความโปร่งใส ไม่ให้มีการทุจริต
1.2. ให้จัดตั้งกองทุนพัฒนารัฐวิสาหกิจ เพื่อปรับปรุงพัฒนารัฐวิสาหกิจให้เป็นกลไกหลักในการพัฒนาประเทศ เป็นเครื่องมือของรัฐในการดูแลชีวิต ความเป็นอยู่ของประชาชน
1.3. ให้มีการบริหารจัดการที่โปร่งใส ตรวจสอบได้และการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่าง ๆ
2. รัฐต้องปรับปรุงโครงสร้างทางภาษี โดยเก็บภาษีในอัตราที่ก้าวหน้าอย่างจริงจัง การจัดเก็บภาษีการซื้อขายหุ้นในอัตราที่ไม่น้อยจนเกินไป ภาษีที่ดิน ภาษีมรดก ให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อนำมาใช้เป็นงบประมาณแผ่นดินในการพัฒนาประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนทุกคนทุกมิติ อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำสร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน และขอให้รัฐบาล กระทรวงพลังงาน ปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน ให้มีความเหมาะสม ไม่เก็บภาษีซ้ำซ้อน และ ยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เพื่อคืนความเป็นธรรมให้แก่ประชาชน
3. รัฐต้องปฏิรูปการประกันสังคม ดังต่อไปนี้
3.1 รัฐต้องตั้งโรงพยาบาลประกันสังคมให้กับผู้ประกันตน ตามสัดส่วนผู้ประกันตนแต่ละพื้นที่ พร้อมกับผลิตแพทย์ พยาบาลและบุคลากรด้านอื่น ๆ ของสำนักงานประกันสังคมเอง
3.2 สนับสนุน ส่งเสริมให้มีการจัดตั้งสถาบันการเงินของผู้ใช้แรงงาน (ธนาคารแรงงาน)
3.3 ปฏิรูปโครงสร้างสำนักงานประกันสังคมให้เป็นอิสระ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และให้ผู้ประกันตนมีส่วนร่วม
3.4 การจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมต้องเป็นไปในสัดส่วนที่เท่ากันทั้งรัฐบาล นายจ้าง และผู้ประกันตน รวมถึงให้รัฐบาลจ่ายเงินสมทบพร้อมดอกเบี้ยส่วนที่ค้างให้ครบ
3.5 ให้ผู้ประกันตน มาตรา 33, 39, 40 ได้รับสิทธิประโยชน์ที่เท่าเทียมกัน
3.6 เพิ่มสิทธิประโยชน์สำหรับผู้รับเงินชราภาพเป็น อัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเดือนสุดท้าย
3.7 ขยายกรอบเวลาในการเข้าถึงสิทธิการรักษาพยาบาลของกองทุนเงินทดแทน จนสิ้นสุดการรักษาตามคำวินิจฉัยของแพทย์
4. รัฐต้องจัดสวัสดิการถ้วนหน้าที่มีคุณภาพให้แก่ประชาชนทุกคนได้เข้าถึงอย่างเท่าเทียมโดยไม่เลือกปฏิบัติ
4.1 ด้านสาธารณสุข ประชาชนทุกคนต้องเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพและไม่มีค่าใช้จ่าย
4.2 ด้านการศึกษา ประชาชนทุกคนต้องเข้าถึงการศึกษาในทุกระดับ ทั้งในระบบและการศึกษาทางเลือกโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
5. รัฐบาลต้องให้สัตยาบันอนุสัญญาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ
5.1 ฉบับที่ 87 ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัวกัน
5.2 ฉบับที่ 98 ว่าด้วยการปฏิบัติตามหลักการแห่งสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง เพื่อสร้างหลักประกันในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง
5.3 ฉบับที่ 155 ว่าด้วยความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยในการทำงาน ค.ศ. 1981 (พ.ศ.๒๕๒๔)
5.5 ฉบับที่ 183 ว่าด้วยการคุ้มครองความเป็นมารดากำหนดให้ผู้หญิงมีสิทธิลาคลอดได้ 180 วัน และให้ผู้ชายลาไปดูแลภรรยาคลอดบุตรได้ 30 วัน โดยได้รับค่าจ้างตามที่จ่ายจริง 100%
5.4 ฉบับที่ 189ว่าด้วยงานที่มีคุณค่าสำหรับคนทำงานบ้าน
5.5 ฉบับที่ 190 ว่าด้วยการขจัดความรุนแรงและการล่วงละเมิดในโลกของการทำงาน
6. ให้ลูกจ้างทำงานบ้านเข้าถึงสิทธิประกันสังคม มาตรา 33
7. รัฐบาลต้องยกเลิกนโยบายการจำกัดอัตรากำลังบุคลากรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และยกเลิกนโยบายการลดสิทธิประโยชน์สวัสดิการของพนักงานและครอบครัว
8. รัฐต้องกำหนดให้ลูกจ้างภาครัฐในหน่วยงานราชการต่าง ๆ ทั้งส่วนกลางและท้องถิ่นรับค่าจ้างจากงบประมาณแผ่นดิน และต้องบรรจุเป็นข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างประจำ
9. รัฐต้องดูแลให้มีการปฏิบัติและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด กรณีที่นายจ้างเลิกจ้างคนงานโดยไม่จ่ายค่าชดเชย หรือจ่ายไม่ครบตามที่กฎหมายกำหนด เช่น การปิดกิจการ หรือ การยุบเลิกกิจการในทุกรูปแบบ
(ตามรัฐธรรมนูญ หมวด 5 มาตรา 53)
10. รัฐต้องจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยงจากการลงทุน โดยให้นายจ้างจ่ายเงินเข้ากองทุนเพื่อเป็นหลักประกัน
ในการคุ้มครองสิทธิของคนงาน เมื่อมีการเลิกจ้างหรือปิดกิจการ โดยนายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย คนงานต้องได้สิทธิรับเงินจากกองทุนนี้ พร้อมทั้งสนับสนุนค่าดำเนินการทางคดีระหว่างผู้ประกอบการกับคนงาน หรือ รัฐกับผู้ประกอบการที่ทำผิดกฎหมาย
11. รัฐต้องพัฒนากลไกการเข้าถึงสิทธิและการบังคับใช้กฎหมายความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม
ในการทำงานอย่างจริงจัง และต้องจัดสรรงบประมาณให้แก่สถาบันความปลอดภัยฯ ให้เพียงพอ สำหรับการบริหารจัดการเรื่องความปลอดภัยให้มีประสิทธิภาพ และสร้างกลไก กติกา ภายใต้การมีส่วนร่วมของคนงาน
ทุกภาคส่วน และ ยกเลิกการใช้แร่ใยหินทุกรูปแบบ
12. รัฐต้องยกเลิกการจ้างงานที่ไม่มั่นคง เช่น การจ้างงานแบบชั่วคราว รายวัน รายชั่วโมง เหมาค่าแรง เหมางาน
เหมาบริการ และการจ้างงานบางช่วงเวลา ทั้งภาครัฐและเอกชน
13. ข้อเสนอเพื่อคุ้มครองสิทธิแรงงานข้ามชาติ
13.1 รัฐบาลต้องสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สำหรับทุกคนโดยไม่คำนึงถึงสถานะและไม่เลือกปฏิบัติต่อชาติใดชาติหนึ่งเพื่อประสิทธิภาพในการเข้าถึงการรักษาโรคและเยียวยาต่อแรงงานข้ามชาติโดยไม่เลือกปฏิบัติ
13.2 รัฐบาลต้องให้แรงงานข้ามชาติทุกคนเข้าถึงสิทธิเงินกองทุนทดแทน เมื่อเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานไม่ว่ากรณีใด
13.3 ขอให้รัฐบาลไทยอนุญาตให้แรงงานข้ามชาติสามารถทำเอกสารขึ้นทะเบียนรอบใหม่ และให้มีการคุ้มครองกลุ่มผู้ลี้ภัยทางการเมือง
สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) และ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อเรียกร้องที่ได้ยื่นเสนอต่อนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน และรัฐบาลนั้น จะได้รับการตอบสนองเพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนให้เป็นผลในทางปฏิบัติเพื่อให้กรรมกร ผู้ใช้แรงงานทุกภาคส่วน ได้มีความมั่นคง มีความปลอดภัย ในการทำงาน ได้รับค่าจ้าง สวัสดิการ มีหลักประกันทางสังคม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างยั่งยืน อย่างแท้จริงต่อไป