ป.ป.ช.ชงข้อเสนอ ครม.สางปมจำเลยบางคดียกฟ้อง แต่ชื่อติดในแบล็คลิสต์อาชญากร
ป.ป.ช.ชงข้อเสนอแนะถึง ครม. แก้ปัญหา 3 ระยะ ศึกษาเพิ่มประสิทธิภาพ บริหารจัดการทะเบียนประวัติอาชญากร ปมจำเลยที่ศาลพิพากษายกฟ้อง แต่ชื่อยังไม่หลุดจากแบล็คลิสต์
เมื่อวันที่ 23 ก.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในการประชุมครั้งที่ 70/2567 เมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบ การศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทะเบียนประวัติอาชญากร และมอบหมายให้สำนักงาน ป.ป.ช. ส่งเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไป
เรื่องดังกล่าวมีที่มาจากการที่ปรากฏข้อร้องเรียน จากประชาชนผู้เคยตกเป็นผู้ต้องหา หรือจำเลยในคดีอาญา และคดีได้มีการถอนคำร้องทุกข์ อัยการสั่งไม่ฟ้อง หรือคดีถึงที่สุดว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด หรือศาลยกฟ้อง หมายความว่า บุคคลนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ปรากฏว่ายังมีข้อมูลดังกล่าวในฐานข้อมูลระบบสารสนเทศของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้เป็น “ผู้มีประวัติอาชญากรรมติดตัว” เสมือนเป็นผู้ที่กระทำความผิดนั้นอยู่
ทั้งนี้ ผู้มีประวัติอาชญากรรมติดตัวจะประสบปัญหาเกี่ยวกับการจ้างงาน (Prospective Employment) เนื่องจากการประกอบอาชีพบางประเภทมีการกำหนดคุณสมบัติหรือคุณลักษณะห้ามผู้กระทำความผิดประกอบอาชีพ และพบปัญหาการจัดเก็บข้อมูลประวัติอาชญากรรมที่ยังไม่เป็นปัจจุบัน และไม่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลหรือนำข้อมูลมาใช้เพื่อประโยชน์ในการบริหารกระบวนการยุติธรรมร่วมกัน นำไปสู่การกระทำความผิดทางอาญา เช่น มีการหลอกลวงประชาชนด้วยการ แอบอ้างว่าเป็นผู้มีความสามารถตรวจสอบและลบข้อมูลประวัติอาชญากรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ อาจนำไปสู่ความเสี่ยงในการกระทำทุจริตหรือประพฤติมิชอบ เช่น เป็นช่องทางให้เจ้าพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อจัดการกับทะเบียนประวัติอาชญากร และเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจดำเนินการกับทะเบียนประวัติ เป็นต้น สำนักมาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม สำนักงาน ป.ป.ช. จึงศึกษาวิเคราะห์เพื่อเสนอมาตรการหรือแนวทางการประสานความร่วมมือในการป้องกันการทุจริตต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
จากการศึกษาข้อเท็จจริงในการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่า การบริหารจัดการข้อมูลประวัติอาชญากร เป็นกระบวนการดำเนินงานที่มีกฎหมาย ระเบียบและแนวทางปฏิบัติอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันมิให้มีข้อร้องเรียน/ข้อกล่าวหาในลักษณะดังกล่าวที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต จึงเห็นส่งเรื่องดังกล่าวไปคณะรัฐมนตรี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการข้อมูลประวัติอาชญากรโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็นเกี่ยวกับกรอบระยะเวลาการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้
การแก้ไขปัญหาในระยะสั้น
ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งจัดทำข้อบังคับเกี่ยวกับกรอบระยะเวลาการดำเนินการที่ชัดเจนว่า ในแต่ละขั้นตอนต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดกรอบเวลาเท่าใด พนักงานสอบสวนต้องรายงาน กองทะเบียนประวัติอาชญากรจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จเมื่อใด และกองทะเบียนประวัติต้องดำเนินการในกรอบระยะเวลาเท่าใด เพื่อคัดแยกทะเบียนประวัติ คณะกรรมการที่พิจารณาคัดแยกต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จในกรอบระยะเวลาเท่าใด ซึ่งจะเป็นการป้องกันความเสี่ยงต่อการทุจริตให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจเรียกรับ หรือประวิงเวลาแลกกับการไม่นำชื่อออกจากทะเบียนประวัติอาชญากร (ระเบียบเก่า) รวมถึงไม่ดำเนินการนำชื่อบุคคลใดเป็นผู้กระทำความผิดในคดีอาญาดังกล่าว ให้ปรากฏในทะเบียนประวัติอาชญากรอีกด้วย (ระเบียบใหม่)
การแก้ไขปัญหาในระยะกลาง
เห็นควรผลักดันนโยบาย/แผนการการดำเนินงานในการบริหารจัดการทะเบียนประวัติอาชกรแบบบูรณาการ โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติหารือแนวทางการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยอาจจัดตั้งคณะทำงานร่วมซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ในกระบวนการยุติธรรม เพื่อร่วมหาแนวทางบูรณาการฐานข้อมูล หรือการ Clearing House ที่จะแก้ไขปัญหาข้อมูลทะเบียนประวัติอาชญากรไม่เป็นปัจจุบัน ปัญหาข้อมูลผลคดีล่าช้า ลดขั้นตอนการคัดแยกทะเบียนประวัติ ลดปริมาณงานของเจ้าหน้าที่ รวมถึงทำให้ได้ฐานข้อมูลเพื่อใช้ประโยชน์ในการยุติธรรมร่วมกัน โดยคำนึงถึง“ธรรมาภิบาลข้อมูล หรือ DATA GOVERNANCE” ควบคู่กับแนวคิด“ความปลอดภัย ทางไซเบอร์ CYBER SECURITY”
การแก้ไขปัญหาในระยะยาว
เห็นควรให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงยุติธรรม เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีการทบทวนปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการทะเบียนประวัติอาชกรแบบบูรณาการอย่างเป็นระบบ และเกิดการคุ้มครองสิทธิของประชาชน
สำนักงาน ป.ป.ช. มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า “การศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทะเบียนประวัติอาชญากร” ดังกล่าว จะเป็นประโยชน์สำหรับแนวทางการป้องกัน ตรวจสอบและเฝ้าระวังเพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยง การทุจริต และจะนำไปสู่การบูรณาการฐานข้อมูลในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาอย่างมีระบบ เพื่อใช้ประโยชน์ระหว่างหน่วยงานยุติธรรมร่วมกันในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมอย่างมีประสิทธิภาพในอนาคตต่อไป