‘รองโฆษกรัฐบาล’ ชี้ หาก ‘ศาลรธน.’ ไม่ยุบ ‘ก้าวไกล’ ประเทศไทยวุ่นวายแน่
“รองโฆษกรัฐบาล“ เผย ไม่มีพรรคการเมืองไหน กล้าท้าทายสถาบัน แบบก้าวไกล บ่อนเซาะอย่างมีขั้นตอน ชี้ เล่นละครว่าศาลรธน. ไร้อำนาจยุบพรรค ส่อ ละเมิดอำนาจ รู้ทัน ดึงต่างชาติหวังสร้างกระแสกดดัน แนะ ถ้าไม่กล้ายุบพวกทำผิด ต่อไปจะมีหาเสียงแบบไม่รับผิดชอบ ประเทศวุ่นวายแน่
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการที่ศาลรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้วันที่ 7 ส.ค.นี้ เป็นวันนัดฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณี ยุบพรรคก้าวไกล จากการหาเสียง แก้ไข ม.112 ว่า ต้องยอมรับว่าไม่เคยมีปรากฎการณ์ที่พรรคการเมืองใดที่กล้าท้าทายสถาบันพระมหากษัตริย์แบบพรรคก้าวไกล เราทราบดีว่า พรรคก้าวไกลนั้นก็มาจากพรรคอนาคตใหม่ ก่อนนี้มีเพียงพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเท่านั้น ที่เคยเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบัน เป็นที่รับทราบกันทั่วไปว่าคนของพรรคก้าวไกล ทั้งในและนอกสภา มีการกระทำที่ทำให้คนอาจเข้าใจว่ามีลักษณะอาจเป็นการบ่อนเซาะ ทำลาย กัดกร่อนสถาบันแบบมีนัยยะสำคัญ และเป็นขั้นตอน
ทั้งนี้ คนของพรรคก้าวไกลในสภา ได้ใช้สถานะความเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ พยายามจะแก้ไขกฎหมายอาญา ม.112 ซึ่งเป็นรั้วป้องกันสถาบัน เพื่อให้สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ความคิดริเริ่มแบบนี้ หลายคนสงสัยว่า เป็นความคิดริเริ่มที่ถูกหรือผิด สร้างสรรค์หรือทำลายกับ สถาบัน เพราะแม้คนธรรมดาก็ยังมี ม.326 แห่งประมวลกฎหมายอาญาป้องกันสิทธิส่วนบุคคล
นายคารม กล่าวว่า ก่อนที่ศาลจะมีคำวินิจฉัย สังคมจับตาคนของพรรคก้าวไกลว่า มีการแสดงออกอย่างไร การที่มีการแสดงละครนอกศาลรัฐธรรมทำนองว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจยุบพรรคการเมืองจะถูกยุงไม่ได้ ถ้าประชาชนไม่เลือกพรรคนั้นจะถูกยุบเอง กรณีการกระทำดังกล่าว หากเป็นคดีอยู่ในกระบวนการของศาลยุติธรรม และคดีกำลังพิจารณา การแสดงละครดังกล่าว หรือการแสดงออกต่อการพิจารณาคดีของศาลแบบนี้ อาจเข้าข่ายละเมิดอำนาจศาลได้
นอกจากนั้น ยังมี สส.ของพรรคการเมืองบางพรรคที่เป็นเครือข่ายของพรรคก้าวไกล ส่งข้อความผ่านไปถึงต่างประเทศ ให้เข้ามาจับตาการวินิจฉัยคดียุบพรรคของศาลรัฐธรรมนูญว่าไม่เป็นสากล ซึ่งแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่านี่คือการเอาสถาบันต่างประเทศ ทั้งที่เป็นเพียงกรรมาธิการเล็กๆ ตามชื่อเมืองๆ หนึ่ง แต่นำมาใช้ในทำนองกดดันศาล ในความคิดของตนที่เป็นนักกฎหมาย ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะคิดอย่างไรต่อกรณีที่ มี สส. พรรคฝ่ายค้านที่กระทำแบบนี้ แต่นี้คือการไม่เคารพองค์กรศาลที่ทำหน้าที่ตามกฏหมาย คนเป็นสส. ต้องเข้าใจระบบการพิจารณาของศาลว่า มีขอบเขตอำนาจอย่างไร แต่ถ้าทราบ แล้วยังแสดงออกในลักษณะดังกล่าว อาจแสดงถึงเจตนาที่จะนำองค์กรต่างประเทศเข้ามากดดันศาลเป็นเรื่องอันตราย
"อันที่จริงการยุบพรรคการเมืองนั้น โดยหลักการแล้ว ถ้าพรรคการเมืองไม่ทำผิดกฎหมาย การยุบพรรคการเมืองก็ไม่ควรเกิดขึ้นเหมือนที่ศาลก็ไม่ควรตัดสินจำคุกหรือประหารชีวิตคนที่ไม่ได้กระทำผิด" นายคารม กล่าว
นายคารม กล่าวอีกว่า ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ม.92 บัญญัติเรื่องการยุบพรรคการเมืองไว้ 4 กรณี ดังนั้น กกต. จึงมีสิทธิยื่นยุบพรรคการเมืองได้ โดยเฉพาะ(1) และ ( 2) นั้น เป็นเรื่องการกระทำของพรรคการเมืองที่เข้าข่าย ล้มล้างการปกครอง การเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง ซึ่งแทบไม่มีพรรคการเมืองไหนเคยทำ ประเด็นมีว่า เมื่อมีการยุบพรรคการเมืองสมาชิกพรรคการเมือง ซึ่งไม่ใช่กรรมการบริหารพรรค สามารถย้ายเข้ายังไปสังกัดพรรคใหม่ได้ คนของพรรคก้าวไกล ก็ทราบดี และตนเชื่อว่ามีการตั้งพรรคไว้รอแล้ว
นายคารม กล่าวว่า หากศาลรัฐธรรมนูญ ไม่กล้ายุบพรรคการเมือง หากพรรคการเมืองทำผิดกฎหมาย ทั้งที่กฎหมายให้อำนาจไว้ เพราะกลัวความกดดัน กลัวกระแสสังคมที่เขาสร้างขึ้น หรือกลัวสายตาต่างประเทศที่มองมาที่เรา ต่อไปอาจเกิดปรากฏการณ์ ให้พรรคการเมืองหาเสียงแบบไม่รับผิดชอบต่อบ้านเมือง ต่อสังคม อาจมีการหาเสียงแบบให้แบ่งแยกประเทศไทย อาจหาเสียงให้ยกเลิกสถาบัน อาจหาเสียงแบบให้เด็กไม่ต้องเคารพพ่อแม่ อาจหาเสียงแบบไร้ความรับผิดชอบ ออกนโยบายที่เป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม บ้านเมือง แล้วใช้กระแสคนบางกลุ่ม มากดดันให้ศาลไม่กล้ายุบพรรคที่กระทำแบบนี้ กรณีแบบนี้ เชื่อประเทศไทยจะวุ่นวายแน่นอน ตนเองเชื่อว่าวันที่ 7ส.ค.เป็นวันระพี วันบิดาแห่งกฎหมายไทย มั่นใจการตัดสินของศาลจะมีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายรองรับอย่างมีเหตุมีผล เป็นที่ยอมรับของสังคมแน่นอน