ตั้งป้อม...สู้ป้อม
การจัดประชุมพรรคพลังประชารัฐ และสร้างข่าวใหญ่ เป็นการส่งสัญญาณ “ท้ารบ” จาก “ลุงป้อม” และพลพรรคบ้านป่ารอยต่อ เพราะส่งผลให้วันดีๆ ของรัฐบาลแพทองธารถูกแย่งซีนไปไม่น้อย เมื่อศัตรูหมายเลข 1 ส่งสัญญาณแรงขนาดนี้ นายกฯอุ๊งอิ๊ง จึงต้องตั้งป้อม สู้ป้อม งัดยุทธการโต้กลับ
KEY
POINTS
-
การจัดโครงสร้างพรรคใหม่ เลือกกรรมการบริหารพรรคใหม่ เป็นวันเดียวกันกับที่นายกฯอุ๊งอิ๊ง พาคณะรัฐมนตรี เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณพอดีนั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นปฏิบัติการ “ท้ารบ” ของ “ลุงป้อม” และขุนพลพลังประชารัฐ
-
พลังประชารัฐลุยนิติสงคราม จับผิดรัฐบาล และรัฐมนตรีทุกฝีก้าว แล้วเล่นเกมกฎหมาย ยื่นคำร้องผ่านช่องทางต่างๆ ส่วนเกมในสภาฯ จะไปอุดช่องโหว่ของพรรคประชาชน ที่บอยคอตองค์กรอิสระ งานนี้พรรคพลังประชารัฐจึงเตรียม “จัดให้แทน”
-
เมื่อศัตรูหมายเลข 1 ส่งสัญญาณแรงขนาดนี้ นายกฯอุ๊งอิ๊ง จึงต้องตั้งป้อมสู้ ถอดรหัสจากคำแถลงหลังประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ จึงพบหลายยุทธการโต้กลับ
การประชุมพรรคพลังประชารัฐเมื่อวันศุกร์ที่ 6 ก.ย.เพื่อจัดโครงสร้างพรรคใหม่ เลือกกรรมการบริหารพรรคใหม่ ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่ นายกฯอุ๊งอิ๊ง พาคณะรัฐมนตรี “แพทองธาร 1” เจ้าของฉายา "รัฐบาลญาติกา” เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณพอดีนั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน
เพราะการเมือง...ไม่มีเรื่องบังเอิญ
แต่เป็นปฏิบัติการ “ท้ารบ” ของ “ลุงป้อม” และขุนพลพลังประชารัฐ
ขณะที่นายกฯอุ๊งอิ๊ง วันเสาร์ที่ 7 ก.ย. เปิดไพ่ให้ดูแล้ว แม้จะยังไม่ใช่ “แบไต๋” ทั้งหมด แต่ไพ่ที่แง้มให้ดูคือ งานนี้ไม่มียอม แถมเตรียมยุทธการ “ตั้งป้อมสู้” เอาไว้เรียบร้อย
ที่สำคัญคือเป็นการ “ตั้งป้อม…สู้ป้อม”
เพราะวันนี้ “บิ๊กป้อม” คือศัตรูหมายเลข 1 ของรัฐบาลแพทองธาร
การจัดประชุมพรรคพลังประชารัฐ และสร้างข่าวใหญ่เมื่อวันศุกร์ เป็นการส่งสัญญาณ “ท้ารบ” จาก “ลุงป้อม” และพลพรรคบ้านป่ารอยต่อ เพราะส่งผลให้วันดีๆ ของรัฐบาลแพทองธาร 1 ถูกแย่งซีนโดยพรรคพลังประชารัฐไปไม่น้อยทีเดียว
1.ออกสตาร์ตวันเดียวกัน กล่าวคือ
- รัฐบาลแพทองธาร มีอำนาจเต็มหลังถวายสัตย์ และแถลงนโยบาย
- พรรคพลังประชารัฐก็เปิดตัวเป็น “ฝ่ายค้าน” ตัวจริงเช่นกัน และประกาศเริ่มเดินงานตรวจสอบรัฐบาลทันที
2.เกมสภาเข้มแน่
- ฝ่ายค้านหลักจะมีถึง 3 พรรค แม้ทำงานไม่สอดประสานกันนัก แต่ก็ทำให้ฝ่ายรัฐบาลดักทางยาก
- พรรคประชาชนเป็นแนว “ค้านคุณภาพ - ค้านด้วยเนื้อหา” เน้นอินโฟกราฟฟิกสวยๆ เข้าใจง่าย และปูพรมต่อทางแอร์วอร์ โซเชียลมีเดีย
- พรรคประชาธิปัตย์ สายปูชนียบุคคล มีวาทกรรมและการเตรียมข้อมูลอภิปรายซักฟอกในฐานะฝ่ายค้านไม่เป็นสองรองใคร โดยเฉพาะอดีตนายกฯชวน แม้ตอนเป็นรัฐบาลจะถูกขนานนาม “ชวน เชื่องช้า” แต่ทุกครั้งทุกคราที่เป็นฝ่ายค้าน ต้องเจอลีลา “มีดโกนอาบน้ำผึ้ง” เลือดสาดเต็มสภา
- พรรคพลังประชารัฐ ลุยนิติสงคราม จับผิดรัฐบาล และรัฐมนตรีทุกฝีก้าว แล้วเล่นเกมกฎหมาย ยื่นคำร้องผ่านช่องทางต่างๆ ซึ่งเป็นงานถนัดของ คุณไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคคนใหม่
โดยเกมในสภาของพรรคพลังประชารัฐ จะไปอุดช่องโหว่ของพรรคประชาชน ที่บอยคอตองค์กรอิสระ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ บางเรื่องยื่นคำร้องได้ ก็ไม่ยอมยื่น งานนี้พรรคพลังประชารัฐจึงเตรียม “จัดให้แทน”
3.เกมนอกสภาข้นคลั่ก
- นิติสงคราม ต่อยอดจากเกมในสภา คุณไพบูลย์ นิติตะวัน นำทัพเอง นำร่องไปแล้วเรื่องจดหมายทวงเก้าอี้รัฐมนตรีให้ “บิ๊กป๊อด” ชิมลางยื่นถอดถอนนายกฯอุ๊งอิ๊ง เป็นเรื่องแรกแน่นอน
เปิดวอร์รูมใหม่นอกพรรค ประสาน “นักร้อง” ทยอยยื่นคำร้องสอยนายกฯ รัฐมนตรี รัฐบาล พร้อมยุบพรรค ล่าสุดจัดกันไปแล้ว 9 คำร้อง + 1 คือคำร้องของคุณสนธิญา สวัสดี เมื่อวันศุกร์
- แอร์วอร์ถล่มปูพรม จากเครือข่ายเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ไม่พอใจรัฐบาล จะสยายปีกถล่มรัฐบาลรายวัน ตรวจสอบนายกฯแพทองธาร และรัฐมนตรีทุกเม็ด ทุกย่างก้าว
4.พลังประชารัฐประกาศตัวไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ ไม่ใช่พรรคทหาร เท่ากับส่งสัญญาณอยู่นาน ทะเลาะไม่เลิก อีกฝ่ายอยู่ไม่เป็นสุขแน่
5.เครือข่ายในองค์กรอิสระยังพอมีเหลือ กลไกในฝ่ายความมั่นคง ตำรวจ ทหาร หน่วยข่าวยังพอพึ่งพาได้
งานนี้ว่ากันว่า “พรรคพลังป้อม” ปรับยุทธศาสตร์ใหม่ เปิดบทบาทเป็นศูนย์กลางประสานงานล้มรัฐบาลทั้งในและนอกสภาฯกันเลยทีเดียว
ทั้งหมดคือสัญญาณจาก “ศัตรูหมายเลข 1” นาม “ลุงป้อม” ที่งานนี้มีแต่แค้นฝังหุ่น และไม่เคยออกมาให้สัมภาษณ์ตอบโต้ใดๆ ทั้งๆ ที่จะว่าไป พลังประชารัฐก็โดนกระทำมาหลายครั้ง
1.เข้าร่วมรัฐบาลคุณเศรษฐา โดย “ลุงป้อม” เสียสละไม่รับตำแหน่ง
2.ให้ “ลุงป๊อด” น้องชาย เป็นรองนายกฯ ควบ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่แกนนำรัฐบาลก็ไม่ให้กำกับดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งรัฐมนตรีของพลังประชารัฐไปนั่งเป็นเจ้ากระทรวงอยู่ คือ ผู้กองธรรมนัส แต่กลับให้รองนายกฯจากเพื่อไทย ไปกำกับดูแลแทน
3.แบ่งงานให้รับผิดชอบน้อยมาก
4.ปรับออกจากพรรคร่วมรัฐบาล โดยอ้างมติ สส. พร้อมข้อกล่าวหาฉกรรจ์ “ร่วมงานกันไม่ได้” ซึ่งโดยมารยาททางการเมือง การปรับออกพรรคร่วมรัฐบาลในอดีต จะพูดจากันนิ่มกว่านี้
5.อดีตนายกฯทักษิณ ตอกย้ำวาทกรรม “เกาะโต๊ะขอตำแหน่ง ผบ.ทบ.” เมื่อครั้งที่เคยทวีตในแพลตฟอร์มทวิตเตอร์ ตอบโต้ “ลุงป้อม” เมื่อปี 2561 และในงานดินเนอร์ทอล์คของเนชั่น ก็พูดอีกครั้ง อ้างสาเหตุที่โกรธกัน เพราะไม่ตามใจ “ลุงป้อม” ที่อยากเป็นประธาน ป.ป.ช.หลังเกษียณจาก ผบ.ทบ.
ข้อมูลทั้ง 2 ชุด “ลุงป้อม” ไม่เคยออกมาตอบโต้หรือชี้แจงใดๆ
แต่คนที่คร่ำหวอดการเมืองอย่าง คุณจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน มองว่า นี่คือการหยามกันแรงที่สุดของ “คนการเมือง” เพราะโดยปกติ จำไม่นำเรื่องลับ มาขายกันในที่แจ้งแบบนี้
โปรดสังเกต แม้แต่ “ลุงป้อม” จนถึงวันนี้ ยังไม่เคยต่อว่า ผู้กองธรรมนัส ออกสื่อ ขนาดผู้กองหักลุงแบบตัดบัวไม่เหลือใย ขณะที่ผู้กองเอง ตอนแถลงข่าวปลดแอก “ลุงป้อม” ก็ไม่ได้ออกชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณเช่นกัน
ฉะนั้นในทางการเมือง งานนี้จึงถือว่า “ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ” กันอีกต่อไป สำหรับ “ลุงโทนี่” กับ “ลุงป้อม”
ที่สำคัญ อย่ามองข้ามสัญญาณจาก “ลุงบ้านป่าฯ” ยกมือท่วมหัว ยืนยันยึดมั่นสถาบันเบื้องสูง และจงรักภักดี งานนี้คือการส่งสัญญาณว่าใครไม่จงรักภักดีหรือไม่ ใครกำลังโดนคดี 112 อยู่หรือเปล่า และเป็นการชิงการนำ “ความเป็นพรรคอนุรักษนิยมอันดับ 1” กลับมาหรือไม่
เพราะพรรครวมไทยสร้างชาติ กำลังสูญเสียตำแหน่งนั้นไป จากการที่ “เลขาฯขิง” เอกณัฏ พร้อมพันธุ์ ไปร่วมรัฐบาลเพื่อไทย เข้าประชุม ครม.กับคุณอุ๊งอิ๊ง และเดินควงแขนกับคุณสรวงศ์ เทียนทอง
เมื่อศัตรูหมายเลข 1 ส่งสัญญาณแรงขนาดนี้ นายกฯอุ๊งอิ๊ง จึงต้องตั้งป้อมสู้! ถอดรหัสจากคำแถลงหลังประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ พบยุทธการโต้กลับดังนี้
1.ตั้งทีมกฎหมายเฉพาะกิจ ขึ้นมารับมือ “นิติสงคราม” โดยเฉพาะ
2.ตั้งวอร์รูมร่วมกับ “พรรคร่วมรัฐบาล” กลั่นกรองทุกเรื่อง ไม่ให้หมิ่นเหม่ผิดกฎหมาย
3.โชว์ความตั้งใจในการทำงาน ประกาศทำงานหนัก แข่งกับเวลา ใช้ผลงานเป็นเกราะกำบัง
4.ขอความเห็นใจ เป็นนายกฯอายุน้อย ลูกยังเล็ก ขออย่ามีคดี
5.แต่ก็ประกาศความมั่นใจ จะอยู่ครบ 3 ปี ไม่มีคดีติดตัว
ใครจะอยู่ใครจะไป...อีกไม่นานคงรู้กัน!