ปริศนา2ผู้มากบารมี‘ทักษิณ-เนวิน’ จาก ‘เขาใหญ่’ถึง‘บ้านจันทร์ฯ’

ปริศนา2ผู้มากบารมี‘ทักษิณ-เนวิน’  จาก ‘เขาใหญ่’ถึง‘บ้านจันทร์ฯ’

ไขปริศนา ‘2ผู้มากบารมี’ พท.-ภท. ‘ทักษิณ-เนวิน’ จาก‘ดีลเขาใหญ่’ ถึงข่าวปล่อย‘บ้านจันทร์ฯ’ ผ่าดุลอำนาจ “แดง-น้ำเงิน”บริหาร-นิติบัญญัติ ‘เกมต่อรอง’

KEY

POINTS

  • จังหวะก้าวย่างของ “ครูใหญ่สีน้ำเงิน” ส่งสัญญาณแผ่บารมีในการชิงฐานอนุรักษนิยม ย่อมล่วงรู้ และอยู่ในสายตา “นายใหญ่บ้านจันทร์ฯ” ที่น่าจะอ่านเกมนี้ ทะลุปรุโปร่ง 
  • วาทกรรม “มันจบแล้วครับนาย” ถูกพับเก็บชั่วคราวหลัง “พรรคเพื่อไทย” พลิกขั้วร่วมรัฐบาลกับ “พรรคภูมิใจไทย” เมื่อช่วงต้นปี 2566 ทว่า ในเชิงดุลอำนาจอำนาจต่อรองระหว่าง “2 พรรคร่วมรัฐบาล”  อยู่เป็นระยะ

  • ผ่าดุล“เพื่อไทย-ภูมิใจไทย”  เกมอำนาจ "บริหาร" งัด "นิติบัญญัติ"

  • นัยของ “2 ผู้มากบารมี” 2 พรรค ช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ย่อมถูกจับจ้องว่า จะมีผลไปถึงอำนาจต่อรองที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ข่าวปล่อย” แพร่สะพัด หลังเสร็จสิ้นพิธีปะกำช้าง เนื่องในวันคล้ายวันเกิดครบ 66 ปี ที่สนามช้างอารีน่า จ.บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 4 ต.ค.2567 ที่ผ่านมา "เนวิน ชิดชอบ" ครูใหญ่สีน้ำเงิน  เดินทางเข้าเมืองกรุง  ในวันที่ 6 ต.ค. เวลาประมาณ 19.00 น.เป้าหมายปลายทาง จรัญสนิทวงศ์ 69 ซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านจันทร์ส่องหล้าของ  “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่เพื่อไทย 

โดยฝั่ง “เนวิน” มี “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย รวมอยู่ด้วย 

ขณะที่ฝั่ง “นายใหญ่” มี  “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร รวมถึง “เอม” พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ พี่สาวนายกฯอิ๊งค์ ที่วางมือจากงานธุรกิจ ปรับบทบาทไปอยู่เบื้องหลังกรองงานให้น้องสาวรวมอยู่ในวงพูดคุยด้วย 

น่าสนใจว่า ข่าวคราวที่ถูกปล่อยออกมา เกิดขึ้นคล้อยหลังเพียง 2 วัน หลังงานวันคล้ายวันเกิดครบ 66 ปี ของ “ครูใหญ่ค่ายสีน้ำเงิน”  ซึ่งรายล้อมไปด้วยคนใกล้ชิด นักการเมือง ข้าราชการ รวมถึงบุคคลจากหลากหลายวงการร่วมแสดงความยินดี

ในวันนั้น “สปอตไลท์การเมือง” สาดส่องไปที่ท่าที และเวิร์ดดิ้งสำคัญ “ผูกให้เป็นนายกฯ” ซึ่ง “ครูใหญ่เนวิน” พูดกับ ครูประกำที่ทำพีธีผูกข้อมือเรียกขวัญให้กับ “อนุทิน”ในพิธีปะกำช้าง จนถูกตีความว่า เป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองในฐานะ “ผู้มากบารมี” ตัวจริงของค่ายสีน้ำเงิน 

ปริศนา2ผู้มากบารมี‘ทักษิณ-เนวิน’  จาก ‘เขาใหญ่’ถึง‘บ้านจันทร์ฯ’

จังหวะก้าวย่างของ “ครูใหญ่สีน้ำเงิน” ซึ่งถูกมองว่า กำลังส่งสัญญาณแผ่บารมีในการชิงฐานอนุรักษนิยม ภายใต้ความฝันสูงสุด อาจถึงขั้นผงาดเป็นหัวขบวน ท่ามกลางข่าวคราวการจัดสรรดุลอำนาจระหว่าง “อำนาจเก่า” และ “อำนาจใหม่”  

 แน่นอนย่อมล่วงรู้ และอยู่ในสายตา “นายใหญ่บ้านจันทร์ฯ” ที่น่าจะอ่านเกมนี้ ทะลุปรุโปร่ง เป็นอย่างดี 

ฉะนั้นแม้ “อนุทิน” จะออกมาปฏิเสธถึงกระแสข่าวดังกล่าวว่า เป็นเรื่อง“ไร้สาระ” 

แต่สิ่งที่น่าสนใจอยู่ตรงสัญญาณที่ถูกปล่อยออกมา จากทั้งฝั่ง “นายใหญ่”ค่ายแดง และค่ายน้ำเงิน ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ย่อมแฝงไว้ซึ่งนัยสำคัญที่ต้องจับตา 

วาทกรรม “มันจบแล้วครับนาย” ระหว่าง “นายใหญ่บ้านจันทร์ฯ” และ “ครูใหญ่เซาะกราว” ซึ่งถูกพับเก็บชั่วคราวภายหลังจากที่ “พรรคเพื่อไทย” พลิกขั้วร่วมรัฐบาลกับ “พรรคภูมิใจไทย” เมื่อช่วงต้นปี 2566 

ทว่า ในเชิงดุลอำนาจมาถึงเวลานี้หลายชอตหลายตอน ยังซ่อนไว้ซึ่งอำนาจต่อรองระหว่าง “2 พรรคร่วมรัฐบาล”  อยู่เป็นระยะ

ปริศนา2ผู้มากบารมี‘ทักษิณ-เนวิน’  จาก ‘เขาใหญ่’ถึง‘บ้านจันทร์ฯ’

 

ปริศนา2 นาย จาก“เขาใหญ่”ถึง“บ้านจันทร์ฯ”

ฉากสำคัญก่อนหน้าคือ ในช่วงการเมือง “หัวเลี้ยวหัวต่อ” ก่อนศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยให้ “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นจากความเป็นนายกรัฐมนตรีเพียง 2 สัปดาห์ 

ได้ปรากฎข่าวคราว “ดีลเขาใหญ่” เมื่อช่วงปลายเดือน ก.ค.เวลานั้นไม่ใช่แค่การส่งสัญญาณของ “นายใหญ่” 2 ค่าย แต่ยังรวมไปถึงบรรดา “นักการเมือง” ค่ายต่างๆ รวมถึง “กลุ่มทุน” จนถูกเปรียบเปรยว่า เป็นปฏิญญาเขาใหญ่

นำมาสู่การบรรลุข้อตกลง “พรรคร่วมรัฐบาล”  ทั้งการเฉลี่ยดุลอำนาจทั้งใน “สภาล่าง” และ “สภาสูง”  รวมไปจนถึง “วาระร่วม” สารพัดเรือธงพรรคร่วมรัฐบาล 

ปริศนา2ผู้มากบารมี‘ทักษิณ-เนวิน’  จาก ‘เขาใหญ่’ถึง‘บ้านจันทร์ฯ’

กระทั่งการเมืองเกิด “จุดพลิก” เมื่อวันที่ 14 ส.ค.  “เศรษฐา” หลุดเก้าอี้นายกฯ ท่ามกลางการจับตาไปที่ดุลอำนาจระหว่าง “พรรคเพื่อไทย” ในฐานะแกนนำรัฐบาล รวมไปถึง “พรรคภูมิใจไทย”  ในฐานะพรรคลำดับ 2 ในขั้วรัฐบาล ไม่ต่างจากชื่อของแคนดิเดตนายกฯทั้ง “แพทองธาร ชินวัตร” และ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ที่ถูกโฟกัสมาโดยตลอด

ก่อนปฏิบัติการ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” จะชิงเกมเร็วตัดจบด้วยการรักษาดุลอำนาจสีแดงในฐานะพรรคลำดับหนึ่ง ดัน “แพทองธาร” ขึ้นแท่นนายกฯคนที่ 31ในท้ายที่สุด 

ปริศนา2ผู้มากบารมี‘ทักษิณ-เนวิน’  จาก ‘เขาใหญ่’ถึง‘บ้านจันทร์ฯ’

คล้อยหลังเพียง 1 เดือนเศษ ในจังหวะเปลี่ยนผ่านจากนายกฯ คนที่30 สู่ นายกฯคนที่ 31 ท่ามกลางศึกชิงคะแนนนิยมในแต่ละขั้วแต่ละสาย ถึงขั้นมีข่าวคราวเล็ดลอดออกมาเป็นระยะ มีการเปิดโปรย้ายพรรค-ย้ายฝั่งกันล่วงหน้า  ไม่ต่างจากสารพัด “นิติสงคราม” ที่กำลังรายล้อมรอบด้านในเวลานี้ 

ยังไม่นับรวมข่าวคราวการ ตั้งพรรคโน้น-ผุดพรรคนี้รองรับ “ฉากทัศน์การเมือง”  ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต  

แน่นอนว่าสัญญาณจาก “2 ผู้มากบารมี” ถูกปล่อยออกมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ความน่าสนใจอยู่ที่นัยของ “2 ผู้มากบารมี”  ที่จะส่งสัญญาณ ภายใต้อำนาจต่อรอง-ถ่วงดุล ที่ต่างฝ่ายต่างถืออยู่ในมือ 

ผ่าดุล“พท.-ภท.” บริหาร งัด นิติบัญญัติ 

ฝั่ง “พรรคเพื่อไทย” ถืออำนาจบริหารอยู่ในมือ แถมยังได้กระแสนิยมไม่ว่าจะเป็นตัว  “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร  สะท้อนจากผลสำรวจ“นิด้าโพล” เมื่อ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา พบว่ามีคะแนนเป็นอันดับหนึ่ง 

หรือ  “นโยบายเรือธง”  ​โดยเฉพาะนโยบายแจกเงิน 10,000 บาท ซึ่งโพลล่าสุด ระบุว่ามีผลเพิ่มแรงหนุนรัฐบาล “นายกฯอิ๊งค์” ถึง 30% หากเพื่อไทยเลี้ยงคะแนนนิยมไปได้เรื่อยๆ ย่อมส่งผลไปถึงการเลือกตั้งรอบหน้าได้

ยิ่งไปกว่านั้นการถืออำนาจบริหารในมือ หากเกมการเมืองไล่ต้อนจนสุดทาง ยังมี “ไพ่ตาย” ใบสุดท้ายนั่นคือการใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี ในการ “ประกาศยุบสภา” 

ซึ่งไพ่ตายใบสุดท้ายนี้นี่เองที่“พรรคแกนนำรัฐบาล” ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนสมัยไหนก็มักจะ หยิบมาใช้เพื่อกำหราบพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันตัวอย่างมีให้เห็นนักต่อนักในอดีต  

แต่กระนั้น “ไพ่ตาย” ใบสุดท้ายคือการยุบสภา จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อพรรคเพื่อไทยช่วงชิงความได้เปรียบจนเป็นต่อหลายเท่าตัว ในเรื่องคะแนนนิยม ซึ่งโดยนัยการเมืองยังไม่ใช่เร็วๆนี้แน่นอน  

เพราะอย่างที่รู้กันเวลานี้เป็นเพียงแค่โหมดเริ่มต้นรัฐบาลแพทองธาร  ขณะที่เรตติ้งพรรคเพื่อไทยยังอยู่ในช่วง“เลี้ยงกระแส” ยังมีอีกหลากหลายเรือธงที่จะทยอยปล่อยออกมาเพื่อโกยเรตติ้งหลังจากนี้

ปริศนา2ผู้มากบารมี‘ทักษิณ-เนวิน’  จาก ‘เขาใหญ่’ถึง‘บ้านจันทร์ฯ’

ขณะที่ “ภูมิใจไทย” ถืออำนาจต่อรองในแง่นิติบัญญัติโดยเฉพาะสภาสูงที่ถูกปกคลุมด้วยสีน้ำเงิน และถือเป็นอำนาจต่อรองที่สำคัญในการออกกฎหมาย 

เห็นชัดจากกรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ คือ “แผนลึก” แก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งรายมาตรา ซึ่งจนถึงเวลานี้ยังมีคำถามว่า ตกลงแล้วภูมิใจไทยเล่นหน้าไหนกันแน่ 

ศึกงัดข้อ2สภาดองกม.ประชามติ180วัน  

ยังไม่นับรวมเกมสกัดการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ซึ่งมีต้นทางอยู่ที่ร่างพ.ร.บ.ออกเสียงประชามติ ซึ่งถูกสว.ที่ปกคลุมด้วยสีน้ำเงินส่วนใหญ่ เดินเกม “พลิกมติสส.” เปลี่ยนเกณฑ์ใช้ “เสียงข้างชั้นเดียว” เป็น “เสียงข้างมาก 2 ชั้น” ซึ่งจะส่งผลให้การแก้รัฐธรรมนูญเกิดได้ยากกว่าเดิม  แถมถูกลากโยงไปถึง “พ่อใหญ่บุรีรัมย์” ในฐานะผู้มากบารมีตัวจริงอีกด้วย

เป็นเช่นนี้แน่นอนว่า ฟากฝั่งสภาล่างโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ซึ่งถือเสียงในสภาเพียงพรรคเดียวมีเสียงในมือ141เสียง ย่อมรู้ถึงแผนลึกเกมลับเป็นอย่างดี 

ตอกย้ำชัดถึงการส่งสัญญาณ “แก้เกมเอาคืน”  ด้วยการเสนอตั้งกมธ.ร่วม2สภา

เช็กเสียงรวมถึงแนวโน้มฝั่งสภาล่างแล้วชัดเจนว่า จะแก้เกมเอาคืนด้วยการยืนยันตามร่างเดิมที่ผ่านสภาคือให้ใช้ “เสียงข้างมากชั้นเดียว” เป็นเช่นนี้จะส่งผลให้กฎหมายฉบับนี้ก็ต้องรอไปอีก 180 วัน เพื่อยืนยันและประกาศใช้

ทั้งหมดทั้งมวลย่อมเป็นการสะท้อนถึง “เกมดุลอำนาจ” ระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยที่ต้องจับตา

ไม่ต่างจากนัยของ “2 ผู้มากบารมี” 2 พรรคที่ส่งสัญญาณออกมาในเวลานี้ แม้ฝั่ง “หัวหน้าพรรคสีน้ำเงิน” จะบอกว่าเป็นเรื่องไร้สาระ

แต่ความเคลื่อนไหวในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ย่อมถูกจับจ้องว่า จะมีผลไปถึงอำนาจต่อรองที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!