'พิธา' ชี้ยื่นศาล รธน.ฟัน 'ทักษิณ-เพื่อไทย' สะท้อนควรร่วมมือกันแก้ รธน.
'พิธา' ชี้ 'ธีรยุทธ' ยื่นศาล รธน.ให้ 'ทักษิณ-เพื่อไทย' เลิกการกระทำล้มล้างการปกครอง สะท้อนพรรคการเมืองควรร่วมกันแก้รัฐธรรมนูญ ลั่นจริยธรรมมีได้ แต่ไม่ควรใช้เป็นอาวุธทำลายล้างกัน ขอให้ 'ก้าวไกล' เป็นพรรคสุดท้ายที่โดนแบบนี้ ให้กำลังใจ 'นายกฯอิ๊งค์' อย่าเสียสมาธิทำงาน
เมื่อวันที่ 10 ต.ค.2567 ที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพอันจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครอง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า คงเป็นการยืนยันว่าทุกพรรคการเมืองควรช่วยกันร่วมแก้รัฐธรรมนูญเรื่องจริยธรรม
นายพิธา กล่าวอีกว่า การมีจริยธรรมเป็นเรื่องดี ในสังคมควรจะมี แต่ไม่ควรใช้เป็นอาวุธในการทำลายล้างกัน การจะร้องอะไร ก็ควรจะมีโทษที่ได้สัดส่วนกับการร้อง สิ่งที่สังคมร่วมกันจรรโลง คือ การเห็นว่าจริยธรรมอันไหนเหมาะหรือไม่เหมาะ ไม่ควรใช้เป็นลงโทษหรือตัดสิทธิ์ทางการเมือง นี่น่าจะเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้นักการเมืองทุกพรรคร่วมกันพูดคุยเรื่องนี้ได้ว่า ควรแก้ไขรัฐธรรมนูญได้แล้ว
ส่วนจะให้กำลังใจอย่างไรกับพรรคเพื่อไทยบ้างนั้น นายพิธา ยังยืนยันคำเดิมว่า ขอให้พรรคก้าวไกลเป็นพรรคสุดท้ายที่เจออะไรแบบนี้ ขอให้การกระทำแบบนี้ ถ้าเลิกไปเลยได้ก็ดี แต่หากจะให้มีอะไรแบบนี้ โทษที่ได้ต้องได้สัดส่วน ไม่ใช่ปลดนายกรัฐมนตรีที่ประชาชนเลือกมา หรือยุบพรรคที่ประชาชนตั้งกันมา มันไม่ควรมีอีกแล้วในการเมืองไทย การล้มล้างการปกครองในประเทศไทยมีเพียงอย่างเดียวคือการรัฐประหาร ตนก็ไม่อยากเห็นพรรคเพื่อไทยถูกยุบ
เมื่อถามว่า การยื่นคำร้องนายธีรยุทธ จะเสมือนเป็นการเปิดหน้าว่า ใครอยู่เบื้องหลังในการยุบพรรคก้าวไกลด้วยหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่ได้ใส่ใจถึงเรื่องนั้น แต่คิดว่าเป็นกระบวนการที่ไม่น่าเสียเวลา และเสียสมาธิ น.ส.แพทองธารก็ต้องมีสมาธิในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ไม่ควรมาเสียเวลากับเรื่องอะไรแบบนี้
เมื่อถามว่า มีความเห็นอย่างไร ที่ข้อกล่าวหาล้มล้างการปกครอง ไม่ใช่พรรคก้าวไกลพรรคเดียวที่โดน นายพิธา กล่าวว่า ความอปกติในระบอบประชาธิปไตย จะกลายเป็นความปกติไป เหมือนที่มีการทำรัฐประหาร 12 ครั้งในประเทศไทย แล้วรู้สึกว่ามันปกติ พอมีกระบวนการเช่นนี้ ทุกคนก็จะคาดเดาว่า แย่แน่นอน แต่ไม่ควรจะมีใครต้องเสียสมาธิในเรื่องแบบนี้ ควรนำสมาธินั้นมาทำนโยบายแข่งขันกัน เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด