ปปง.อายัดทรัพย์ 'ดิไอคอนกรุ๊ป' 125 ล้าน 'บอสพอล-บอสกันต์' โดนด้วย

ปปง.อายัดทรัพย์ 'ดิไอคอนกรุ๊ป' 125 ล้าน 'บอสพอล-บอสกันต์' โดนด้วย

ปปง.สั่งอายัดทรัพย์ 'ดิไอคอนกรุ๊ป' 125 ล้านบาท 'บอสพอล วรัตน์พล-บอสกันต์ กันตถาวร' โดนด้วย เป็นบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์-เงินฝาก-บัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล 11 รายการ

เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2567 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แถลงผลการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สิน กรณีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด กับพวก ด้วยสำนักงาน ปปง. ได้รับรายงานจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค รายของ บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด กับพวก ซึ่งมีพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดเกี่ยวกับความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 จากการตรวจสอบรายงานและข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมในกรณีดังกล่าว มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าอาจมีการโอน ยักย้าย ปกปิด หรือช่อนเร้น ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดในกรณีดังกล่าวและกรณีมีความจำเป็น เร่งด่วน 

เลขาธิการ ปปง.  จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 48 วรรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ออกคำสั่งที่ ย. 214/ 2567 ให้อายัดทรัพย์สินของบริษัท ดีไอคอนกรุ๊ป จำกัด นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล นายณิชพน ทองมี นางสาวจิตตญา หงษ์อุปถุมภ์โชย และนายกันต์ กันตถาวร ซึ่งเป็นทรัพย์สินประเภทเงินในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ เงินในบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน เงินในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ และเงินในบัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและสินทรัพย์ดิจิทัล จำนวน 11 รายการ รวมราคาประเมินทั้งสิ้นประมาณ  125,548,076.99 บาท พร้อมดอกผลไว้ชั่วคราว มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน

ปปง.อายัดทรัพย์ \'ดิไอคอนกรุ๊ป\' 125 ล้าน \'บอสพอล-บอสกันต์\' โดนด้วย

ทั้งนี้ สำนักงาน ปปง. ขอแจ้งเตือนว่าทรัพย์สินอื่นที่อยู่ระหว่างพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินนั้น หากผู้ใดโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าก่อน  ขณะหรือหลังการกระทำความผิด มิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงในความผิดมลฐาน หรือกระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มาแหล่งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือมีการได้มา ครอบครอง หรือใช้ทรัพย์สิน โดยรู้ในขณะที่ได้มา ครอบครอง หรือใช้ทรัพย์สินนั้นว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ย่อมมีความผิดฐานฟอกเงินต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ