'พิธา' เย้ย 'ทักษิณ' จะคว้า 200 สส. ลั่น ปชช.คนตัดสิน เตือนความจำผลเลือกตั้ง 66
'พิธา' เย้ย 'ทักษิณ' บอกจะคว้า 200 สส.เลือกตั้งครั้งหน้า บอกเหมือนตอน 'ชลน่าน-แพทองธาร' พูดจะแลนด์สไลด์ พอถึงเวลาประชาชนเป็นผู้ตัดสิน เตือนความจำผลเลือกตั้ง 66 ลั่น จ.อุดรธานี ไม่ใช่เมืองหลวงเสื้อแดง เป็นเมืองหลวงประชาธิปไตย
เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2567 ที่ จ.อุดรธานี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง นายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) อุดรธานี จากพรรคประชาชน (ปชน.) เดินทางกลับมาจากสหรัฐอเมริกา โดยกล่าวว่า เดินทางลงพื้นที่ครั้งนี้ ตั้งใจมาช่วยหาเสียง เพื่อให้คนอุดรฯ ทราบว่าจะมีการเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรฯ ประเด็นหลักที่อยากสื่อสาร คือการเชิญชวนให้มาใช้สิทธิ์กันมาก ๆ เพราะคนทราบว่าอุดรฯ คือเมืองหลวงของประชาธิปไตย แต่การใช้สิทธิ์อาจจะน้อย เนื่องจากพี่น้องชาวอุดรฯ ไปทำงานต่างประเทศเยอะ ที่ผ่านมาในการเลือกตั้งปี 2566 และการเลือกตั้ง อบจ. มีแค่ 50-60% เท่านั้น อาจไม่สอดคล้องกับความเป็นประชาธิปไตย จึงพยายามเชิญชวนให้มาใช้สิทธิ์มากๆ
ส่วนกรณีมีบางพรรคตีกินว่าเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดงนั้น นายพิธา กล่าวว่า ถ้าดูตัวเลขจากการเลือกตั้งปี 2566 พรรคเพื่อไทยมาอันดับ 1 คือ 300,000 แสนกว่าคะแนน อดีตพรรคก้าวไกลมาอันดับ 2 คือ 200,000 แสนกว่าคะแนน พรรคไทยสร้างไทยอันดับ 3 คือ 100,000 กว่าคะแนน ถ้าอันดับ 2 กับ 3 รวมกัน ก็ชนะพรรคเพื่อไทย จึงควรใช้คำว่าเมืองหลวงประชาธิปไตย ไม่ใช่เมืองหลวงเสื้อแดง เพราะตัวเลขก็ฟ้องมาอย่างนั้น
ส่วนการที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปราศรัยระบุนายพิธากลัวแพ้ จึงต้องบินกลับมาจากสหรัฐอเมริกานั้น นายพิธา กล่าวว่า เรื่องนี้มี 2 ประเด็น คือเรื่องกลัวแพ้ก็แพ้มาเยอะ ชนะมาก็แยะ อุดรฯ เขต 1 ปี 2562 ตอนเป็นอนาคตใหม่ก็แพ้ พอปี 2566 เป็นพรรคก้าวไกลก็ชนะ ผู้สมัครนายก อบจ.คนปัจจุบันของพรรคเพื่อไทย เพราะฉะนั้น มีแต่เผด็จการเท่านั้น ที่กลัวแพ้การเลือกตั้ง
"การเป็นนักการเมือง และการเป็นอดีตนักการเมือง ก็มีแพ้มีชนะเป็นเรื่องธรรมดา อย่างกรณีที่ตนกลับมาจากอเมริกาที่เคยแพ้ก็ชนะ ที่เคยชนะก็กลับมาแพ้ นี่คือความสวยงามของประชาธิปไตย เพราะฉะนั้น ไอ้เรื่องแพ้ แพ้เยอะมากแล้ว แต่การเลือกตั้งครั้งสุดท้ายผมก็ชนะ" นายพิธา กล่าว
เมื่อถามถึงการติดป้ายหาเสียงคู่ผู้สมัคร มีทั้งรูปนายพิธา และนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน นั้น นายพิธา กล่าวว่า เท่าที่เช็คจากทีมงานของผู้สมัคร อัตราส่วนการติดป้ายของหมายเลข 1 กับหมายเลข 2 น่าจะ 20 ต่อ 1 จึงเป็นเรื่องความประหยัด พรรคตนในตอนที่เป็นอดีตพรรคก้าวไกล จนมาเป็นพรรคประชาชนไม่แพ้พรรคไหนแน่นอน และแคมเปญนี้ เป็นแคมเปญลูกครึ่ง เพราะหาเสียงร่วมกับนายคณิศร ตั้งแต่ยังเป็นพรรคก้าวไกล จึงมีการทำป้ายไปก่อน แต่พอโดนยุบพรรคก็กลายเป็นของพรรคประชาชน กลายเป็นลูกครึ่งมีทั้งรูปคู่กับตน และรูปคู่กับนายณัฐพงษ์ ก็แค่นั้น
ส่วนกังวลการลงพื้นที่ด้วยตัวเองของนายทักษิณหรือไม่นั้น นายพิธา กล่าวว่า ไม่รู้สึกกังวล แต่รู้สึกดี เพราะทำให้มีสีสัน ทำให้ประชาชนมีความสนใจ เนื่องจากในการเลือกตั้งระดับชาติก็มีกติกาหนึ่ง มีเลือกตั้งล่วงหน้า มีเลือกตั้งข้ามเขต ประชาชนให้ความสนใจ แต่เมื่อเป็นการเลือกตั้ง ส.อบจ.หรือ อบจ.แค่จังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง ก็อาจจะไม่ได้รับการประชาสัมพันธ์จากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เท่าที่ควร ถ้ามีการแข่งขันของเบอร์ 1 เบอร์ 2 มีการลงพื้นที่กันเยอะ ประชันวิสัยทัศน์กันเยอะ ก็ทำให้ประชาชนสนใจ และหวังว่าการจะทำให้การใช้สิทธิ์ครั้งนี้สูงกว่า 56% เพราะครั้งที่แล้วก็เกินครึ่งมานิดเดียว
เมื่อถามว่า การที่นายใหญ่ของพรรคต้องลงมาเอง มีนัยต่อการเลือกตั้งนายก อบจ.ครั้งนี้หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ก็เห็นสื่อมวลชนวิจารณ์กันไป แต่ตนไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าสัปดาห์นี้ และสัปดาห์หน้า เป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง การที่สื่อวิเคราะห์ หรือมีการสัมภาษณ์นักวิชาการ รวมถึงการให้สัมภาษณ์ของนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ก็มีโอกาสเป็นไปได้ ซึ่งตนไม่แน่ใจว่า เขารู้สึกอย่างไร แต่การทำงานของพรรคประชาชน หรือพรรคก้าวไกล เวลามองการเลือกตั้ง เรามอง 2-3 การเลือกตั้งล่วงหน้า ถ้าคิดแบบนั้น จะมีแต่ชนะ พัฒนา ไม่มีแพ้ เราแข่งกับตัวเองในครั้งที่แล้ว ตั้งแต่อนาคตใหม่ ก้าวไกล แน่นอนว่าในการเลือกตั้งต้องแข่งกับคู่แข่ง แต่ในการทำงานของพรรคเรา เราแข่งกับตัวเองในครั้งที่ผ่านมา ถ้าคิดแบบนี้ จะทำงานอย่างไม่กดดัน และทุกการเลือกตั้งเป็นโอกาสสร้างความเปลี่ยนแปลง การพัฒนาบุคคล และองค์กร หลายคนตอนเลือกตั้งอนาคตใหม่ วางแผนการเดินหาเสียงไม่เป็น ทุกวันนี้เก่งมาก ก็มีการพัฒนาในทุกการแข่งขัน ไม่ได้รู้สึกกดดันมากเป็นพิเศษ
ส่วนสนามเลือกตั้ง อบจ.เป็นโจทย์ยากหรือไม่เพราะต้องทลายกำแพงบ้านใหญ่ ที่เดิมเป็นสีแดงเกือบทั้งจังหวัด นายพิธากล่าวว่า เป็นโจทย์ยากที่บริหารได้ อย่างน้อยเราทราบว่า ในการเลือกตั้ง ปี 66 คนมาใช้สิทธิ์ 76% พอเลือกตั้ง อบจ.เหลือแค่ 60% เพราะข้ามเขตไม่ได้ เลือกตั้งล่วงหน้าไม่ได้ จึงต้องทำนโยบายในพื้นที่ให้จับต้องได้ มีความชัดเจนมากขึ้น ขณะเดียวกัน พอตนกลับจากสหรัฐอเมริกา เห็นเรื่องการเลือกตั้งก็มองว่า น่าจะมีการเลือกตั้งด้วยจดหมายแบบเมลล์อิน เหมือนเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา จะได้ทำให้การเลือกตั้งง่ายขึ้น มีประสิทธืภาพมากขึ้น และตรงกับเจตจำนงค์ของประชาชนมากขึ้น ต้องแก้ทั้งเฉพาะหน้า และระยะยาว ไม่ใช่แค่การเลือกตั้งระดับชาติ แต่รวมถึงเลือกตั้งอื่นๆ น่าจะเป็นประโยชน์มากขึ้น
เมื่อถามว่า หากพรรคประชาชนชนะ จะมาจากปัจจัยใดนั้น นายพิธา กล่าวว่า มาจากหลายเรื่อง ทั้งตัวผู้สมัคร และคู่แข่ง ก็มีความสำคัญ รวมถึงนโยบายตรงใจประชาชนแค่ไหน แต่ตนยังยืนยันในความสำคัญของผู้มาใช้สิทธิ์ หากเกิน 70% ก็ทำให้เกิดความชอบธรรม และมีโอกาสชนะมากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ถ้าคนมาใช้สิทธิ์น้อย ก็น่าจะยาก
สำหรับกรณีที่นายทักษิณ ประกาศ สมัยหน้าจะคว้า เก้าอี้ สส. ไม่น้อยกว่า 200 ถือเป็นการข่มขวัญหรือไม่นั้น นายพิธา กล่าวว่า ก็เหมือนตอน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หรือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พูดเรื่องแลนด์สไลด์ ก็แค่นั้น พอถึงเวลา ผลลัพธ์หลังเลือกตั้งประชาชนเป็นคนตัดสิน วางแผนได้ ทางตนก็เคยวางไว้ตอนเป็นอดีตก้าวไกล เชื่อว่านายณัฐพงษ์ ก็คงวางแผนของตัวเองเช่นกัน ดังนั้น ประชาชนจะเป็นคนตัดสิน
ในช่วงท้ายนายพิธา ยังอ้อนคนอุดร ขอคะแนนเสียงให้ผู้สมัคร โดยระบุว่า "ฮักหลายๆ ไม่ว่าจะเป็นประเพณีไทยสำคัญขนาดไหน เช่นตอนสงกรานต์ ผมก็อยู่อุดร ลอยกระทงผมก็ยังอยู่ แสดงให้เห็นความผู้พันธ์ที่มีต่อพี่น้องชาวอุดร หวังว่าศุกร์เสาร์อาทิตย์นี้จะมีโอกาสมาพบปะกันให้หายคิดถึง"
สำหรับช่วงเย็นวันนี้ นายพิธาได้ยกเลิกภารกิจลอยกระทงร่วมกับคนอุดรฯ เปลี่ยนเป็นเดินพบประชาชนบริเวณถนนคนเดินแทน เนื่องจากกังวลว่า จะผิดกฎหมายเลือกตั้งใน เรื่องห้ามจัดมหรสพ