‘ทักษิณ’ เสี่ยงล้ำเส้น สะเทือนรัฐบาล กกต.เก็บข้อมูลปมหาเสียง
ดังนั้นคำปราศรัยสำคัญของ“ทักษิณ”ที่ถูก กกต.จับตา เก็บรวบรวมข้อมูล จนถึงกับ“เตือน”ดัง ๆ ว่า เริ่มล้ำเส้นแล้ว จึงเป็นเรื่องสุ่มเสี่ยงโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง
KEY
POINTS
- ย้อนดูคำปราศรัย “ทักษิณ ชินวัตร” หลังพ้นโทษคดีทุจริต เดินสายลงพื้นที่ทั่วไทย
- หลายครั้งพูดชี้นำนโยบาย จนถูกครหา “ทักษิณ” พูด “รัฐบาล” ทำ
- เสี่ยงล้ำเส้นหลังประธาน กกต.บอกก้ำกึ่งผิดกฎหมายหรือไม่
- จับตาปรับทัพเดินเกมใหม่ เรียกเรตติ้ง “ค่ายแดง” กลับมาสู้ “พรรคส้ม” อีกครั้ง
เข้าสู่ปี 2568 ยังคงเป็นปีที่หนักหนาสาหัสของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะ “ผู้นำทางจิตวิญญาณ” ค่ายสีแดง บิดา “แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯ คนที่ 31 เดินสายลงพื้นที่ ปลุกกระแสบนเวทีหาเสียงการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อย่างต่อเนื่อง
แต่ดูเหมือนทักษะการปราศรัยของ “ทักษิณ” ที่ถูกปัดฝุ่นนำมาใช้ตั้งแต่ยุค “ไทยรักไทย” อาจจะถูกใจชาวบ้าน-ฐานแฟนคลับ แต่ในทางกฎหมายอาจไม่สามารถนำมาใช้ได้ในยุคสมัยนี้ เพราะเขาคืออดีตผู้ต้องโทษคดีทุจริต และเพิ่งพ้นโทษออกมาเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ซึ่งเขาไม่ได้มีสถานะเป็นสมาชิกพรรค เป็นแค่ “ผู้ช่วยหาเสียง” เท่านั้น
นั่นจึงทำให้นับตั้งแต่เขาพ้นโทษออกมาเมื่อปลายเดือน ส.ค. 2567 และเริ่มปรากฏตัวเดินสายบนเวทีปราศรัยหาเสียงต่าง ๆ จะถูกสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)จับตาแทบทุกฝีก้าว กระทั่งล่าสุด “อิทธิพร บุญประคอง” ประธาน กกต. ตอบคำถามสื่อเมื่อ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา ถึงประเด็นหยิบยกนโยบายรัฐบาลไปพูดในเวที ว่า การหาเสียงจะต้องเป็นไปตามกรอบกฎหมาย ห้ามฝ่าฝืนกฎหมายและห้ามปราศรัยใส่ร้ายผู้อื่น ไม่เข้าข่ายหลอกลวง หากอยู่บนพื้นฐานดังกล่าวสามารถทำได้
ส่วนกรณี “ทักษิณ” หยิบยกนโยบายของรัฐบาลหาเสียงได้ใช่หรือไม่ ประธาน กกต.ตอบว่า เป็นความก้ำกึ่ง เพราะครั้งนี้การเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) การพูดที่มีความเกี่ยวข้องอาจจะจำเป็น หรืออาจสามารถรับฟังได้ในบางครั้งแต่ทุกอย่างอยู่ในการรับรู้ตรวจสอบของสำนักงาน กกต.อยู่แล้วในทุกด้าน และทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ปกติมีการมอนิเตอร์การปราศรัยอยู่แล้ว
นั่นจึงทำให้หลายคนย้อนกลับไปฟังการปราศรัยของ “ทักษิณ” ในสารพัดเวทีที่ผ่านมา มักชี้นำการดำเนินนโยบายของรัฐบาลอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเมื่อ “ทักษิณ”พูด“รัฐบาล”รับลูกทำแทบจะทันที แม้แกนนำรัฐบาลจะอ้างว่าเป็นเหตุ “บังเอิญ” ก็ตาม พร้อมยืนยันว่า “นายกฯตัวจริง” ณ ขณะนี้มีแค่ “แพทองธาร ชินวัตร” เท่านั้น
ยกตัวอย่างที่เห็นภาพชัดคือ คำปราศรัยของ “ทักษิณ” ล่าสุดเมื่อ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่ จ.เชียงราย เขาปราศรัยตอนหนึ่งว่า ขณะนี้บ้านเราหนี้ประชาชนหนี้ประเทศสูง ขอเวลาอีก 2 ปีหนี้ประเทศจะลดลง บ้านเรามีเสือนอนกินมีทุกวงการ กำลังนั่งไล่ให้รัฐมนตรีไปพูดกับข้าราชการก็มีคำแก้ตัวสารพัด นายกฯ ก็ไปพูดกับรัฐมนตรีว่าต้องทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้จะเปลี่ยนคนมาแทน รัฐมนตรีจึงกระเตื้อง อย่างเรื่องข้าว เรื่องไฟฟ้า
“ปีนี้ค่าไฟฟ้าต้องลงไปอยู่ที่เลข 3 ไม่ใช่เลข 4 ในใจอยากให้เหลือ 3.50 บาท แต่คงได้แค่ 3.70 บาท กำลังให้เขาช่วยทุบอยู่ ปีนี้ค่าไฟลงแน่เห็นตัวเลขแล้วทุบได้ ต่อไปค่าอาหารสัตว์ ค่าปุ๋ย ค่ายาก็จะให้ลง ต้องทำให้เป็นจริงภายในปี 68 นี้ ถึงบอกว่าปีนี้รัฐบาลต้องทำงานหนัก ยาเสพติด Call Center ต้องเอาให้เกลี้ยง การผูกขาดทุกรูปแบบต้องเอาให้หมด ให้พี่น้องมีค่าใช้จ่ายในชีวิตต่ำลง ทำรายได้ให้ดีขึ้น มีโอกาสดีขึ้น ส่วนเรื่องโฉนดที่ดินทำกินทั้งหลายกำลังคุยกันอยู่ ที่ดินสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จะให้เป็นแค่โฉนด ส.ป.ก.ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนเป็นโฉนดจริง เชื่อรัฐบาลจะแก้ปัญหาประเทศได้ไม่เกินมือ” ทักษิณ ระบุ
พลัน “ทักษิณ” พูดถึงเรื่องการ “ลดค่าไฟฟ้า” คงเหลืออัตรา 3.50-3.70 บาทต่อหน่วย ถัดมาอีก 2 วันในวันประชุม ครม.นัดแรกของปี 2568 เมื่อ 7 ม.ค. “นายกฯอิ๊งค์” แถลงที่ทำเนียบรัฐบาล ประกาศเป้าหมายลดค่าไฟฟ้าลงเหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย โดยยืนยันว่า การปรับลดค่าไฟฟ้าเป็นสิ่งที่รัฐบาลเน้นย้ำ เพื่อให้ค่าไฟฟ้าถูกลง ช่วยลดค่าครองชีพพื้นฐานของประชาชน และเป็นการลดต้นทุนการผลิตทำให้ไทยสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก สำหรับอัตราค่าไฟฟ้าที่ 3.70 บาทต่อหน่วยนั้น เป็นเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการจะทำให้ได้ ซึ่งจะต้องพูดคุยกับหลายฝ่าย
ก่อนหน้านี้มีกรณี “ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์” ที่ “ทักษิณ” ปราศรัยที่ จ.เชียงราย เช่นกันว่า ถึงเวลาสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ให้นำเอาขึ้นมาบนดินให้หมด จัดการพนันออนไลน์ให้ถูกกฎหมาย เพื่อเก็บภาษีอย่างถูกต้องเพื่อนำเงินภาษีเข้ามาสู่ระบบเศรษฐกิจ เมื่อนำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาบนดินไม่สามารถโกงได้เพราะรัฐบาลควบคุมได้ หากคนในครอบครัวติดงอมแงมสามารถฟ้องร้องและส่งตัวไปหาหมอเพื่อบำบัดได้ ปีนี้ ยาเสพติด ปัญหาเรื่องคอลเซ็นเตอร์จะจัดการให้เรียบ
ถัดมาในการประชุม ครม.นัดแรกของปี 2568 รัฐบาลออกแอ็คชั่นเรื่องนี้ทันที โดย “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รองนายกฯ และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า กระทรวงดีอี จะเสนอขออนุมัติเห็นชอบ การแก้ไข พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 เพื่อให้การแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์มีประสิทธิภาพมากขึ้น เร่งรัดคืนเงินให้ผู้เสียหาย โดยเฉพาะกรณีที่มีการระงับหรืออายัดบัญชีม้าที่มีเงินในธนาคาร และการเพิ่มโทษ การซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งถือว่า เป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อประชาชน เศรษฐกิจ และสังคม
นี่เป็น 2 ตัวอย่างที่ค่อนข้างเห็นภาพชัดถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ “ทักษิณ”พูด “รัฐบาล”ทำ โดยก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่ “ทักษิณ” กล่าวปราศรัยบนเวทีช่วยหาเสียงท้องถิ่น ถึงนโยบายของรัฐบาล เช่น การปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท และ 700 บาทในโอกาสต่อไป ปรับเงินเดือนจาก 15,000 บาทเป็น 25,000 บาท (เมื่อ 15 พ.ย. 2567 ที่ จ.อุดรธานี) เป็นต้น ซึ่งทั้ง 2 เรื่องดังกล่าว ในทางการเมืองเริ่มมีแรงกระเพื่อมในการ “ปรับ ครม.” เพื่อหวังผลักดันให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมด้วย
ประเด็นที่น่าสนใจ การปราศรัยของ “ทักษิณ” เข้าข่าย “ก้ำกึ่ง” ขัดกับกฎหมาย กกต.หรือไม่นั้น ต้องกลับไปดูนิยามตามกฎหมายของ กกต. ที่กำหนดว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งสามารถจัดให้มีผู้ช่วยหาเสียงได้ โดยลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งมีหลักใหญ่ใจความสำคัญ 5 ข้อ ได้แก่
ห้ามเป็นผู้ประกอบอาชีพหรือเป็นเจ้าของกิจการสื่อ ห้ามแจกจ่ายเอกสารเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งโดยวิธีการวาง หรือโปรยในที่สาธารณะ ห้ามหาเสียงเลือกตั้งโดยใช้ถ้อยคำรุนแรง ก้าวร้าว หยาบคาย หรือปลุกระดม ห้ามช่วยเหลือเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ให้แก่ผู้ใดตามประเพณีต่าง ๆ และห้ามจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และระเบียบ กกต.ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียง สส.
ทั้งนี้ ระเบียบว่าด้วยการหาเสียง ของ กกต. มีอยู่หลายฉบับ พ.ร.บ.เลือกตั้ง ทั้งเลือกตั้ง สส. และเลือกตั้งท้องถิ่น ระบุถึงสิ่งที่ทำได้ และทำไม่ได้ ทั้งตัวผู้สมัคร พรรคที่ส่งผู้สมัคร และครอบคลุมไปถึงผู้ช่วยหาเสียง
โดยมีกรณีศึกษา การหาเสียงก้ำกึ่ง เกินขอบเขตหน้าที่ของตำแหน่งที่สมัคร กกต.เคยให้ใบแดงมาแล้ว เมื่อปี 2557 โดยผู้สมัคร สว.รายหนึ่ง หาเสียงว่า จะลดราคาน้ำมันเบนซินเหลือลิตรละ 20 บาท จะทวงคืน ปตท. จะยกเลิกกองทุนน้ำมัน จะเสนอกฎหมายไม่ให้ขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม และ NGV โดยเหตุผลคือ ข้อความที่หาเสียงดังกล่าวเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ สว. จึง “เข้าข่ายความผิดฐานหลอกลวงเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนนิยมในการเลือกตั้ง” โดยศาลฎีกามีคำพิพากษาตามคำร้องของ กกต. ตัดสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี
ขณะที่ อดีต กกต. สมชัย ศรีสุทธิยากร ซึ่งไม่อยู่ในสถานะที่ต้องเกรงใจ ได้วิจารณ์เรื่องการหาเสียงของทักษิณเช่นกันว่า การที่ผู้ช่วยหาเสียง ระบุว่า สั่งโน่น สั่งนี่ได้ หากทำไม่ได้ หรือไม่มีศักยภาพที่จะทำได้จริง ก็เข้าข่ายหลอกลวงให้ได้มาซึ่งคะแนนนิยมในการเลือกตั้ง ผิดกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น มาตรา 65(5) มีโทษอาญา อาจได้ใบเหลือง หรือใบแดง ส่วนบทกำหนดโทษ อยู่ในมาตรา 126 วรรคสอง คือ จำคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000 - 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี
หากยืนยันว่าทำได้จริง (ในการสั่งรัฐมนตรี สั่ง ครม.ชี้นำได้) ก็มีโทษครอบงำพรรค ผิด พ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 28 และ 29 มีโทษอาญา และโทษยุบพรรค
ดังนั้นคำปราศรัยสำคัญของ“ทักษิณ”ที่ถูก กกต.จับตา เก็บรวบรวมข้อมูล จนถึงกับ“เตือน”ดัง ๆ ว่า เริ่มล้ำเส้นแล้ว จึงเป็นเรื่องสุ่มเสี่ยงโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง
หลังจากนี้ต้องรอดูว่า “ทักษิณ”จะเดินเกมอย่างไรต่อ เพื่อเรียกฐานคะแนนกลับมา ท่ามกลางกระแส“ค่ายแดง”ตกต่ำ ส่วน“ค่ายส้ม”ผงาดแซงหน้าในตอนนี้