'วิลาศ'ลั่นเดินหน้าชนขบวนการลอบตัดไม้ทำลายป่า
"วิลาศ" อดีตส.ส.ปชป. เตรียมเดินหน้าชนขบวนการลอบตัดไม้ทำลายป่า พร้อมหอบหลักฐานส่ง"ดาว์พงษ์"พรุ่งนี้
แฉขบวนการรุกป่าภาคอีสาน ระบุร้องบิ๊กทหารนานกว่า 2 เดือนคดีไม่คืบแถมยังข่าวรั่ว เผยยังถูกโดนไล่ล่า ลั่นให้เวลา 7 วัน ไม่คืบเจอแฉซ้ำ
นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ เปิดแถลงข่าวจากนโยบายของรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่จะดำเนินการในเรื่องการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น และป้องกันการบุกรุกป่าเป็นเรื่องเร่งด่วนนั้น ทางตนพร้อมให้การสนับสนุนการทำงานของพล.อ.ประยุทธ์อย่างเต็มที่ โดยตนได้ติดตามในเรื่องการตัดไม้ทำลายป่า ได้ลงพื้นที่ทางภาคอีสานกว่า 2 เดือนที่ผ่านมา โดยมีการประสานกับนายทหารระดับนายพล 3 - 4 คน พร้อมจัดทีมลงพื้นที่ เป็นนายทหารระดับนายพัน 2 - 3 คน ไปยังร้านขายของแห่งหนึ่ง ซึ่งตนได้มีการอัดเทปการพูดคุยและถ่ายภาพด้วย โดยทำท่าที่ไปขอซื้อโซ่เลื่อยยนต์ 1 เครื่อง โดยอ้างว่าจะนำไปตัดต้นยาง ทางร้านก็ได้แนะนำสินค้า พร้อมกับมีการพูดถึงใบเลื่อยขนาดต่างๆ และแนะนำว่า หากต้องการจะตัดต้นไม้ขนาด 3 - 4 คนโอบต้องใช้ใบเลื่อย (บาร์) ขนาด 20 - 30 นิ้ว โดยทางร้านก็มีขายให้ แต่ไม่เกิน 1 พันเครื่อง ทั้งที่ในช่วงปิดป่าของพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตรมว.เกษตรและสหกรณ์ในสมัยนั้นได้ออกกฎหมายห้ามนำเข้าเลื่อยยนต์เด็ดขาด จนเมื่อประเทศไทยได้มีการทำสวนยางจำนวนมาก ก็ได้อนุญาตให้นำเข้าขนาดไม่เกิน 12 นิ้ว โดยเจ้าของร้านได้สอบถามตนว่า ต้องการหรือไม่ แต่ถ้าไม่ต้องการก็สามารถนำเลื่อยของตนไว้ที่ร้านเพื่อทำการเปลี่ยนลูกสูบกับขนาดใบเลื่อยให้ แต่จะมีข้อเสียคือเวลาใช้งานจะไม่นิ่ง แต่ตนไม่ได้ตอบรับอะไรและเดินทางกลับพร้อมกับหลักฐานที่ได้ และเชื่อว่าสินค้าที่อยู่ในร้านเป็นเครื่องที่ผิดกฎหมายและหลบหลีกภาษีด้วย โดยเครื่องที่นำมาเสนอตนมี 2 ยี่ห้อคือ สตีล ผลิตในประเทศเยอรมัน และมากีต้า ผลิตในประเทศญี่ปุ่น แต่เมื่อมาดูกลับพบว่า ทั้งสองยี่ห้อผลิตในประเทศจีน
อย่างไรก็ตามหลังจากตนได้เก็บข้อมูลบางส่วนแล้วก็ได้นำมาพูดคุยกับนายทหารระดับนายพลในพื้นที่ถึงพฤติกรรมร้านค้าดังกล่าว ปรากฎว่า ผ่านไป 1 เดือนก็ไม่มีความคืบหน้าอะไร จนกระทั้งวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมาตนได้กลับไปยังร้านค้าดังกล่าวอีกครั้ง แต่พบว่ามีเหตุการณ์ไม่ปกติ คือ ก่อนหน้านี้ร้านค้าไม่มีกล้องวงจรปิด แต่พอกลับไปอีกครั้งพบว่า มีการติดตั้งถึง 3 - 4 จุด และไม่สามารถถ่ายรูป และอัดเทปได้เหมือนกับมีการใช้เครื่องตัดสัญญาณ และเมื่อตนไปถึงร้านก็มีคนเดินปะกบตลอดและมีการพูดคุยกันแต่ไม่สามารถอัดเทปได้ โดยมีประโยคหนึ่งตนถามไปว่า รู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ทำผิดกฎหมาย ก็มีคนที่อยู่ในร้านพูดกลับออกมาประโยคหนึ่งว่า “ทหารก็กินข้าวเหมือนกัน” กับประโยคที่ว่า” เรื่องนี้เคลียร์ได้” และยังมีอีกหลายประโยคที่ตนพูดไมได้ เพราะไม่ได้อัดเทป เกรงว่าจะเป็นการใส่ร้าย
“ ผมอยากตั้งข้อสังเกตว่าหากเป็นแบบนี้การที่พล.อ.ประยุทธ์จะดำเนินการปราบปรามทุจริตจะทำได้จริงหรือไม่ และเหตุการณ์ที่เจอถือว่าข่าวรั่วหรือไม่ ก็อยากฝากนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องรีบแก้ไขเพราะจะกลายเป็นว่าพวกที่ใจถึง เงินถึง บารมีถึง จะอยู่รอดปลอดภัย นโยบายก็ไร้ประโยชน์ วันนี้ผมมีทั้งภาพถ่าย มีรายชื่อที่ชัดเจนพร้อมกับมีเสียงการสนทนาว่า เกี่ยวข้องโยงถึงใครบ้าง ก็จะให้เวลารัฐบาลสะสาง1 สัปดาห์ จากนั้นถ้า 1 สัปดาห์ไม่จบ อาทิตย์หน้าผมจะแถลงข่าวเปิดโปงทันที ว่ามีนายทหารชื่ออะไรบ้างเข้ามาเป็นพระเอกในเรื่องนี้ ” นายวิลาศกล่าวและว่า ในวันพรุ่งนี้ (20 ต.ค.) ช่วงบ่ายตนจะเดินทางเข้าพบ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่กระทรวง เพื่อให้ข้อมูลและพบนายทหารที่เกี่ยวข้องโดยขอเวลา1 สัปดาห์ในการเคลียร์เรื่องนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวลา 10.00 น. ระหว่างที่นายวิลาศกำลังเดินทางมาที่พรรคประชาธิปัตย์เพื่อเตรียมแถลงข่าว ได้มีโทรศัพท์จากระดับ “บิ๊กทหาร” คนหนึ่ง ขอไม่ให้แถลงข่าว แต่ให้มาพูดคุยกันนำข้อมูลมาดูก่อนเพื่อความรอบคอบ ซึ่งตนได้ตอบปฏิเสธไปโดยระบุว่านัดนักข่าวไว้แล้วและรับปากว่าอันไหนที่สามารถเปิดเผยได้ก็จะเปิดเผยเพื่อไม่ให้เสียรูปคดี และตนมีความปรารถนาดีต่อรัฐบาลชุดนี้ที่ต้องการปราบปรามการทุจริต คอรัปชั่น รวมถึงปราบปรามพวกลักลอบตัดไม้ทำลายป่า หากตนไม่แถลงข่าวอะไรออกมาเลย จะทำให้ผู้ปฏิบัติงานระดับล่างไม่มีกำลังใจในการทำงานและขาดแรงกระตุ้นไปถึงระดับบน เพราะต้องยอมรับว่างานนี้มีความเสี่ยงเพราะเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพล เพราะแม้แต่ขนาดตนเป็นถึงอดีตส.ส.ลงไปหาข้อมูลในครั้งที่สองยังถูกไล่ล่าตามประกบ แม้พฤติกรรมไม่ใช่การข่มขู่แต่ก็เหมือนการข่มขู่
ทั้งนี้ในระหว่างการแถลงข่าวนายวิลาศได้นำเครื่องโซ่เลื่อยยนต์ขนาด 12 นิ้ว พร้อมทั้งแผ่นซีดีที่มีการบันทึกเสียงการพูดคุยสนทนา และภาพนิ่งที่ถ่ายเป็นหลักฐานระหว่างลงพื้นที่หาข้อมูลมาแสดงประกอบการแถลงข่าวด้วย โดยระบุว่าจะนำหลักฐานทั้งหมดไปมอบให้กับผู้เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตรวจสอบต่อไป