เปิดแคมเปญ 'ปชป.' ชิงธงนำ 'ประชาธิปไตยสุจริต' หวังได้ส.ส.30เขตกทม.
"อภิสิทธิ์" ลั่น "ปชป.ยุคใหม่" เปิดแคมเปญชิงธงนำ "ประชาธิปไตยสุจริต ประชาชนเป็นใหญ่" หวังรักษาฐานและแสวงหาแนวร่วม เป้าส.ส.30เขตกทม.
วันที่ 13 ม.ค.ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงจุดยืนพรรค พร้อมกับ เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพมหานครทั้ง 30 เขต ของพรรคประชาธิปัตย์ก่อนปล่อยขบวนรถคาราวานของว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. 350 เขต ทั่วประเทศ
ทั้งนี้นาย “อภิสิทธิ์” ได้ประกาศจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีสโลแกนว่า “ประชาชนเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยสุจริต”
โดยมีใจความว่า วันนี้คณะกรรมการบริหารพรรค ตลอดจนผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคฯ ได้อนุมัติไปแล้วในเขตกรุงเทพมหานคร รวมไปถึงตัวแทนของผู้ได้รับการอนุมัติให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศ ได้นำเอารถแห่ รถหาเสียง อย่างที่เรารู้จักกันมาอยู่ ณ ที่นี้ ซึ่งก็คืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่เราได้มายืนอยู่ตรงนี้เพื่อที่จะปล่อยขบวนรถ ก็เพราะว่า แม้ว่าในปัจจุบัน เราอาจจะยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเรื่องของวันเลือกตั้ง แต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยก็ได้กำหนดเอาไว้อย่างชัดแจ้งว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องมีขึ้นภายใน 150 วัน นับตั้งแต่วันที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งมีผลบังคับใช้ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวได้บังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2561 ซึ่งหมายความว่าการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญจะต้องเกิดขึ้นก่อนวันที่ 9 พฤษภาคม 2562
พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่า ไม่ว่าความไม่แน่นอนในบางช่วงบางขณะ หรือเฉพาะหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ประเทศไทยไม่มีทางเลือกอื่น ต้องเดินกลับสู่เส้นทางของประชาธิปไตย ต้องการกลับเดินสู่เส้นทางของประชาธิปไตยนั้นจะเป็นหนทางที่จะทำให้บ้านเมืองของเราเดินไปข้างหน้าตามความต้องการของพี่น้องประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ การเดินบนเส้นทางประชาธิปไตยจะเป็นหลักประกันที่ดีที่สุดว่า คนที่เข้ามาใช้อำนาจของประชาชนนั้นต้องตอบโจทย์ แก้ปัญหา สนองความต้องการของพี่น้องประชาชน
วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ ปล่อยขบวนรถประชาธิปไตย แต่เราปล่อยขบวนรถในวันนี้ นอกเหนือจากจะบอกว่า เราต้องการที่จะเดินหน้าประชาธิปไตยแล้ว เราอยากจะบอกว่าสำคัญไม่แพ้กันก็คือ การเดินหน้าครั้งนี้ จะต้องไม่วนกลับ พอแล้วกับการเมืองที่วนเวียนเป็นวัฏจักร ที่มีการเลือกตั้ง สุดท้ายมีคนที่ได้อำนาจแล้วไปทุจริต คอร์รัปชัน ใช้อำนาจในทางไม่ชอบ ก่อให้เกิดการต่อต้าน ก่อให้เกิดความขัดแย้ง แล้ววนกลับมาสู่การรัฐประหาร และสภาพการบริหารบ้านเมืองแบบที่เราเผชิญมาในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา
ขบวนที่เราปล่อยในวันนี้ที่จะเดินหน้าประชาธิปไตยไปกับพี่น้องประชาชน เราตั้งใจว่าจะเป็นขบวนที่ไม่วนกลับมาอยู่ในวงจรตรงนี้ ถามว่า ขบวนประชาธิปไตยที่จะไม่วนกลับนั้นจะต้องเป็นอย่างไร ประชาธิปัตย์ซึ่งอยู่คู่กับพี่น้องประชาชนมานานกว่า 70 ปี ก่อตั้งขึ้นมาบนพื้นฐานของอุดมการณ์ประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม ยืนยันว่า การจะไม่วนกลับ การจะรักษาประชาธิปไตย การจะทำให้ประชาธิปไตยยั่งยืนได้ ต้องถือคติที่สำคัญ 2 ประการ
ประการที่ 2 ประชาธิปไตยสุจริต คำนี้สำคัญมาก เพราะว่าที่ผ่านมา ความล้มเหลวของประชาธิปไตยหลายหนหลายครั้ง คนที่อ้างตัวเองเป็นประชาธิปไตย อ้างจากการเป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งมาเพียงเท่านั้น แต่ประชาธิปไตยที่แท้จริง ประชาธิปไตยที่จะยั่งยืน ไม่ได้อยู่ที่การมาของผู้มีอำนาจ แต่อยู่ที่ว่าผู้มีอำนาจนั้น ใช้อำนาจตามวิถีทางประชาธิปไตยหรือไม่ สิ่งที่ปรากฎชัดเจนในหลายยุคหลายสมัย ที่เป็นจุดอ่อนข้อบกพร่องก็คือ ผู้ที่ใช้อำนาจที่มาจากประชาธิปไตย ไม่สุจริต ใช้อำนาจนั้นเพื่อประโยชน์ของพวกพ้อง เพื่อประโยชน์ของบุคคล ใช้อำนาจนั้นในการละเมิดสิทธิของฝ่ายต่างๆ ในสังคม นำมาสู่ความขัดแย้ง นำมาสู่ปัญหาการเผชิญหน้า และหลายครั้งก็คือนำไปสู่การรัฐประหาร
วันนี้ที่ประชาธิปัตย์อาสาเดินหน้าขบวนรถประชาธิปไตย รอบนี้เราจึงมีคำขวัญว่า “ประชาชนเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยสุจริต” เพราะนี่คือตัวตนของพรรคประชาธิปัตย์ ประชาชนเป็นใหญ่อย่างไร ผมให้ท่านดูง่ายๆ ว่าเริ่มต้นตั้งแต่ภายในพรรค ไม่มีพรรคการเมืองใดในประเทศไทยที่การบริหารพรรคเป็นการบริหารที่ต้องเคารพประชาชน สมาชิกพรรค และเป็นประชาธิปไตยในพรรคเหมือนพรรคประชาธิปัตย์ การเลือกหัวหน้าพรรค การตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ นั้นประชาธิปัตย์ เคารพความเป็นใหญ่ของประชาชนของสมาชิกพรรค ของผู้สนับสนุนพรรคมาโดยตลอด
นั่นหมายความว่า คติพจน์ ประชาชนเป็นใหญ่นั้นเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณของประชาธิปัตย์ ที่จะเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้เรานำสามารถนำพาประชาธิปไตยไปได้อย่างยั่งยืน เช่นเดียวกัน ประชาธิปไตยสุจริต ประชาธิปัตย์มีหัวหน้าพรรคมาแล้ว 7 คน ไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 4 คน ไม่มีนายกรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์คนไหน มีมลทินในเรื่องปัญหาการทุจริต คอรัปชั่น เพราะนี่คืออุดมการณ์ที่เราประกาศไว้ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2489 ด้วยหลักการสำคัญประชาชนเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยสุจริต ที่ทำให้เรามั่นใจว่าเรามีความพร้อมที่สุดที่จะเป็นผู้นำพาประเทศไทยออกจากวังวนการเมืองแบบนี้ แต่แน่นอนการจะนำพาบ้านเมืองออกจากวังวนตรงนี้ นอกจากต้องมีหลักการที่ถูกต้อง นอกจากการมีอุดมการณ์ที่มั่นคงแล้ว ต้องสามารถตอบโจทย์แก้ปัญหาของประเทศได้ด้วย
ตัวตนของเราที่บอกว่า “ประชาชนเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยสุจริต” มีภารกิจที่สำคัญ ภารกิจที่ว่าก็คือ “แก้จน สร้างคน สร้างชาติ” เพราะทุกวันนี้ ปัญหาความยากจน และปัญหาความเหลื่อมล้ำ เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดที่พี่น้องประชาชนทุกแห่งสัมผัสได้ เป็นปัญหาที่รอคอยการแก้ไข และเป็นปัญหาที่พี่น้องประชาชนคาดหวังว่าเมื่อมีรัฐบาลที่มาจากตัวแทนของเขาต้องสามารถแก้ไขได้ เราจะมีโอกาสในขบวนประชาธิปไตย หรือขบวนรถที่จะออกไปพบกับพี่น้องประชาชนเกือบ 80,000 หมู่บ้านทั่วประเทศ ที่จะอธิบายว่าวันนี้การแก้จนจะทำกันอย่างไร เรามีคำตอบหมด เรื่องที่ทำกิน เรื่องน้ำ เรื่องหนี้สิน เรื่องราคาพืชผล เรื่องรายได้ของพี่น้องคนทำงานผู้ใช้แรงงาน หรือมนุษย์เงินเดือน เรื่องการสร้างโอกาสใหม่ๆ ที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคนี้ ด้วยการปรับรื้อระบบกฎหมาย รวมไปถึงการขจัดการผูกขาดที่เกิดขึ้นในเชิงโครงสร้าง ด้วยการปฏิรูประบบภาษี ด้วยการขจัดการผูกขาดไม่ว่าจะอยู่ในภาครัฐ หรือภาคเอกชน ภารกิจแก้จนครั้งนี้จะเป็นภารกิจที่พรรคประชาธิปัตย์จะปฏิบัติแบบเด็ดขาด แบบยั่งยืน ไม่ฉาบฉวย ไม่ใช่หามาตรการชั่วคราวที่ในที่สุดก็นำพาผู้คนของเรากลับมาสู่ภาวะของความยากจน และการมีหนี้มีสินแบบเก่า ภารกิจการสร้างคนเป็นเรื่องที่ประชาธิปัตย์ยืนหยัดมาตลอดในประวัติศาสตร์ของพรรค รากฐานของการดูแลเด็กและเยาวชน เกือบทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นการดูแลเด็กเล็ก การเรียนฟรี การมีนมดื่ม การมีอาหารกลางวัน การมีเงินให้กู้ยืมเพื่อเรียนต่อในระดับที่สูงเป็นผลพวงมาจากนโยบายประชาธิปัตย์ในอดีตทั้งสิ้น
แต่วันนี้ภารกิจการสร้างคนเป็นภารกิจที่ท้าทายมาก เพราะความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ซึ่งเรามีนโยบายที่ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ที่จะสร้างคุณลักษณะให้กับคนของเราให้เหมาะกับยุคสมัย และเหมาะสำหรับอนาคต มีนโยบาย 10 ข้อที่ได้ประกาศไปแล้ว ผมไม่ใช้เวลาตรงนี้อีก แต่นี่คือการยืนยันว่าภารกิจของการสร้างคนเป็นภารกิจที่ประชาธิปัตย์มีความพร้อม ภารกิจสร้างชาติ เราแก้ปัญหาตัวบุคคล ไม่ว่าจะเป็นความยากจน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความสามารถศักยภาพของคนของเรา ยังไม่พอ ความเป็นสังคม ความเป็นชาติ มันไม่แค่เอาคนมารวมกัน แต่มันหมายถึงการมีกติกาของการอยู่ร่วมกัน ที่จะทำให้สังคมนั้นเดินหน้าไปได้ด้วยกันอย่างสงบสุข สันติสุข
นโยบายของประชาธิปัตย์ตรงนี้ นอกเหนือจากเรื่องการเมืองที่ผมได้ยืนยันไปแล้วว่าการยึดหลักธรรมาภิบาล การเคารพในสิทธิเสรีภาพ และจิตวิญญาณของระบอบประชาธิปไตยจะเป็นพื้นฐานที่ดีแล้ว นโยบายทางด้านอื่นๆ เพื่อต่อสู้กับภัยของการสร้างชาตินั้นเราก็มีพร้อมหมด ภัยในด้านความมั่นคง ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดน ปัญหายาเสพติด ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายที่หย่อนยาน และอื่นๆ อีกมาก เรามีความพร้อมที่จะนำเสนอนโยบายตรงนี้ ด้วยภารกิจที่เราตั้งไว้ แก้จน สร้างคน สร้างชาติ โดยยึดเอาประชาชนเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยสุจริต
การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในครั้งนี้ จึงถือเป็นโอกาสทองของพี่น้องประชาชนคนไทย ที่จะเลือกใช้แนวทางนี้นำพาประเทศเดินหน้าไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองเพื่อประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชนทุกคนอย่างแท้จริง เราจะเริ่มต้นจากนี้ไปจะได้มีการปล่อยขบวนรถที่เป็นขบวนประชาธิปไตยตามแนวทางนี้ทั่วประเทศ ทั้งรถที่มาอยู่ในบริเวณนี้ และรถทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ในสถานที่ต่างๆ ในเขตเลือกตั้ง ในจังหวัดทุกจังหวัดที่พร้อมจะปฏิบัติภารกิจนี้เช่นเดียวกัน ขบวนรถที่ปล่อยไปในวันนี้เป็นขบวนรถที่จะไปพบปะเยี่ยมเยือนประชาชน และเชิญชวนประชาชนทุกคนให้มาร่วมกับขบวนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการสร้างประวัติศาสตร์ทางการเมืองใหม่ของประเทศไทย
"วันนี้ประชาธิปัตย์พร้อมแล้วที่จะนำพาบ้านเมืองออกจากวังวนเดิมๆ และจากวันนี้เป็นต้นไปพวกเราทุกคนจะทุ่มเทอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะสร้างโอกาสให้กับประเทศ และพี่น้องประชาชนทุกคน นำการเมืองพ้นจากวังวนเดิมๆ เข้าสู่ยุคใหม่อย่างแท้จริง เราจะยกระดับประเทศไทย และก้าวไกลไปด้วยกัน" นายอภิสิทธิ์ กล่าวในตอนท้าย