พปชร.เปิดนโยบายหมดเปลือกโค้งสุดท้าย ประเทศไทยต้องรวย
"พปชร." ชูนโยบายลดเหลื่อมล้ำ สร้างรายได้เกษตรกร-แรงงาน-มนุษย์เงินเดือน-ผู้ค้า ย้ำเป้าหมายสร้างรายได้ประเทศ 19 ล้านล้านบาทในปี 2565
เมื่อวันที่ 14 มี.ค.62 ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 11.00 น. นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค , นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค , นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรค , นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง และ นายอนุชา นาคาศัย แกนนำ พรรค ร่วมการแถลงข่าวเปิดนโยบายของพรรค ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนจะถึงวันเลือกตั้ง 24 มี.ค.
โดย นายอุตตม หัวหน้าพรรค พปชร. เริ่มต้นกล่าวถึงนโยบายว่า วันนี้เวลาเหลือไม่เยอะ พรรคพลังประชารัฐเอาเนื้อๆ เลยว่าวันนี้เรานำเสนออะไร ไม่เอาวาทกรรม ซึ่งเราขอนำเสนอ ประเทศไทยต้องรวยด้วยพลังประชารัฐ และพวกเราจะทำให้เกิดขึ้นจริง โดยขอโอกาสให้เราได้เข้ามาทำงาน ประเทศไทยต้องรวยแน่นอนด้วยพลังประชารัฐ อย่างแรกที่จะรวยที่จำเป็นมากๆ คือ คนไทยต้องรวยด้วยความสงบ รวยความสุข และรวยด้วยความหวัง นี่คือสิ่งที่พรรคพลังประชารัฐ อาสาตัวมาทำงานให้พี่น้องคนไทย และจะทำให้ประเทศไทยรวยแล้วยั่งยืนด้วย และพร้อมทำทันที ไม่เสียเวลา
ขณะที่ นายสนธิรัตน์ เลขาธิการพรรค ได้กล่าวขยายความถึงเป้าหมายนโยบายสร้างคนไทยรวยความสงบว่า รวยความสงบนั้นเป็นพื้นฐานที่พรรคพลังประชารัฐให้ความสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์การเมืองกำลังจะกลับเข้าสู่ประชาธิปไตยครั้งแรก เราได้เห็นสัญญาณบางอย่างของความคิดที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่มการเมือง การรวยด้วยความสงบจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างแรกที่ต้องมี หากขาดสิ่งนี้ความสุขและความหวังจะมาไม่ถึง และหากขาดสิ่งนี้ไม่ว่านโยบายพรรคการเมืองใดก็ตามที่นำแสนอก็จะไปไม่ถึงดวงดาวด้วย
พรรคพลังประชารัฐจุดยืน คือไม่เป็นคู่ขัดแย้ง เราจะหลอมรวมทุกฝ่าย พรรคพลังประชารัฐยืนยันในจุดยืนในความไม่เป็นคู่ขัดแย้งตั้งแต่วันแรก ถึงจะมีหลายฝ่ายพยายามผลักเราเป็นหนึ่งคู่ขัดแย้ง ยิ่งการเมืองแบ่งเป็น 3 ก๊กลักษณะอย่างนี้ พลังประชารัฐแสดงจุดยืนถึงการหาทางออกของประเทศ ลดการเกิดเงื่อนไขที่เป็นข้อจำกัดในการไปสู่ข้างหน้าไม่ได้ พลังประชารัฐจะยืนหยัดในจุดยืนของการเป็นฝ่ายปรองดอง และนำให้ทุกคนออกจากความขัดแย้งให้ๆได้
นายสนธิรัตน์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่ 2 ที่ พปชร. จะทำเพื่อความสงบ คือยืนหยัดการเคารพกติกาทุกกติกา ไม่วิพากษ์วิจารณ์กติกาที่พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจ ไม่ว่าจะเป็น รธน. หรือกติกาโดย กกต. เราจะเป็นพรรคที่สอบถาม และเคารพกติกา แล้วเดินตามกติกา เพราะกติกาเป็นพื้นฐานแรกของความสงบ หากทุกฝ่ายที่จะเข้าสู่การเมืองวิพากษ์วิจารณ์กติกาจะล้มล้างกติกา จะกลายเป็นจุดแรกของการเริ่มต้นที่จะนำพาประเทศไปสู่ความไม่มีกติกา ไม่ว่าการแข่งขันใดเมื่อกติกาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตนก็อยากเตือนความจำทุกฝ่ายว่าจำได้หรือไม่ว่าเรียกร้องขอคืนอำนาจให้ประชาชน ที่เคยเรียกร้องและยอมรับกติกา ดังนั้นเมื่อเข้าสู่การเลือกตั้ง ก็ไม่อย่าให้เปลี่ยนคำพูดที่จะไม่ยอมกติกา แล้วตั้งกติกาเป็นเงื่อนไขการเมือง ตนคิดว่าการตัดสินทั้งหมดอยู่ในกรอบกติกาและการตัดสินใจของประชาชน
ทั้งนี้ เลขาธิการพรรค พปชร. พยายามย้ำด้วยว่า พรรคมีจุดยืนมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะไม่ชักนำประชาชนกลับไปสู่วังวนความขัดแย้ง ไม่มีประโยชน์อะไรต่อประเทศไทยเลยถ้าหลังการเลือกตั้งไม่ว่าฝ่ายใดเป็นผู้ชนะ แล้วหลังการเลือกตั้งนำประเทศกลับไปสู่วังวนความขัดแย้ง เราต้องหยุดและพอ ประเทศบอบช้ำจากความขัดแย้งมาสิบกว่าปี สิ่งที่พรรคแสดงชัดเจนคือ เราไม่เอาอีกแล้วความขัดแย้ง การแบ่งแยกประชาชน การแบ่งแยกประเทศออกเป็นส่วนๆ แบ่งแยกสีเสื้อที่เกิด จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ที่ผ่านมาช่วงรณรงค์เลือกตั้งพรรคพลังประชารัฐรู้สึกเสียใจหลายๆ อย่าง ที่ยังเห็นกระบวนการสร้างความเกลียดชังระหว่างกัน เราก็ขอเรียกร้องว่า ให้ทุกฝ่ายเห็นแก่อนาคตของประเทศ อย่าชักนำประเทศกลับไปสู่วาทกรรมความขัดแย้ง หรือกลับไปต่อสู้กันด้วยความขัดแย้งอีก พรรคพลังประชารัฐเคารพการตัดสินใจของประชาชนส่วนใหญ่เราเชื่อมมั่นว่าต้องการความสงบ ต้องการเห็นประเทศเดินหน้า และจุดยืนอีกสิ่งหนึ่งของพรรคคือจะไม่นิรโทษกรรมคนผิด คนผิดจะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไม่เช่นนั้นความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมในบ้านเมืองจะไม่มี ทั้งหมดนี่คือสูตรสำเร็จของการพาคนไทย กลับมารวยความสงบ รวยความสุขที่จะรู้สึกว่ามีความเป็นอยู่ที่ดี มีความปลอดภัย
ส่วนนโยบายรวยความสุข นายสุวิทย์ รองหัวหน้าพรรค ได้กล่าวขยายถึงนโยบายนี้ว่า นอกเหนือความขัดแย้งแล้ว ปมที่สำคัญที่ต้องแก้ไขคือความเหลื่อมล้ำให้กลายเป็นความเท่าเทียมสร้างความสุข ซึ่งนโยบายของเราที่จะสร้างความเท่าเทียม คือบัตรประชารัฐ เป็นคำตอบของการลดความเหลื่อมล้ำ ขัดทฤษฎีแท่งไอติมที่ว่าภาครัฐให้งบประมาณประชาชนเยอะแยะแต่สุดท้ายเป็นเบี้ยหัวแตกใน 44 หน่วยงาน วันนี้พรรคจะทำให้เหลือเป็นบัตรประชารัฐ บัตรเดียว ซึ่งปัจจุบันมี 14.5 ล้านคน เราเพิ่มคน เพิ่มสิทธิ์ให้มากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัย คนพิการ สตรี และแรงงาน
นโยบายที่สอง คือหมดนี้ มีเงินออม โดยเริ่มจากการพักชำระหนี้กองทุนหมู่บ้าน แบบพักหนี้พักดอกเบี้ย 3 ปี จากนั้นก็จะช่วยฟื้นฟู เติมทุนเพื่อสร้างโอกาสกับประชาชนด้วยโยเฉพาะฐานรากที่มีรายได้น้อย นโยบายที่ 3 คือ มารดาประชารัฐ ที่เรามองว่าจะต้องเตรียมพร้อมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 เราจะทำให้เด็กทุกคนเกิดมาแล้วต้องมีคุณภาพโดยจะดูแลเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์
พรรคพลังประชารัฐมั่นใจว่านโยบายเหล่านี้ จะขจัดความยากจน ขจัดความเหลื่อมล้ำ และจะทำให้เด็กของเรามีคุณภาพพอที่จะสู่การเป็นกำลังหลักเศรษฐกิจต่อไป เด็กเกิดมาต้องมีรอยยิ้ม และต่อให้คนเป็นสูงวัยก็เป็นสูงวัยที่สุขสันต์ นี่เป็นนโยบายที่มองคนเป็นสำคัญ จึงออกชุดนโยบายว่าด้วยประชารัฐสร้างคน คนสร้างชาติ ตอบโจทย์ 3 พันธกิจ เริ่มด้วยสวัสดิการประชารัฐ สังคมประชารัฐ เศรษฐกิจประชารัฐ
โดย นายอุตตม หัวหน้าพรรค ได้เป็นผู้กล่าวปิดท้ายถึงนโยบายสร้างเศรษฐกิจประชารัฐว่า ประเทศไทยพื้นฐานเป็นเกษตรกรรม เกษตรกรเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ดังนั้นแนวทางของพรรคคือ พัฒนาภาคเกษตรสู่เกษตรยั่งยืน ให้รวยอย่ามั่นคงด้วยราคาพืชผลทางการเกษตร ซึ่งเป้าหมายราคาผลผลิตทางการเกษตรต้องได้รับการดูแล ตัวอย่าง 1.ข้าวเจ้า 12,000 บาทขึ้นไป-ต่อตัน 2.ข้าวหอมมะลิ 18,000 บาทขึ้นไป/ตัน 3.อ้อย 1,000 บาทขึ้นไป/ต่อตัน 4. ยางพารา 65 บาทขึ้นไป/กิโลกรัม 5.มันสำปะหลัง 3 บาทขึ้นไป/กิโลกรัม 6.ปาล์มต้องทำให้ได้ราคาเป้าหมายที่ 5 บาทขึ้นไป/กิโลกรัม ทั้งหมดต้องทำได้ เพราะเกษตรกรประสบปัญหามาเยอะ เราต้องยื่นมือไปช่วยฉุดเขาขึ้นมา
ส่วนกลุ่มแรงงานอีก 14.6 ล้านคน เราก็จะดูแล ผลักดันค่าแรงงานขั้นต่ำ 400-425 บาท/วัน , อาชีวะศึกษา 18,000 บาท/เดือน และปริญญาตรี 20,000 บาท/เดือน ทั้งหมดไม่สูงเกินไปเมื่อเทียบกับค่าครองชีพต่างๆ ขึ้นไปเท่าใดแล้ว เรากล้าทำและทำได้ทันที
สำหรับกลุ่มมนุษย์เงินเดือน ก็ต้องการความมั่นคง เรามีนโยบายลดภาษีคืนรายได้ โดยเสนอมาตรการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 10% ลดลงทุกขั้นบันได หมายความว่าคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 200,000 บาท/ปีไม่ต้องเสียภาษี , กลุ่มเด็กจบใหม่เราก็จะยกเว้นภาษี 5 ปี , กลุ่มผู้ค้าขายออนไลน์ ยกเว้นภาษีค้าขายออนไลน์ 2 ปี โดยมาตรการเกี่ยวกับภาษีที่เสนอลด 10% นั้น ไม่ได้มากไป เราได้พิจารณาจากที่เห็นว่ากลุ่มประเทศอาเซียน โครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของประเทศไทยนั้นสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง
นอกจากนี้กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ล้มแล้วต้องลุกได้ เราก็มีนโยบายดูแลตลอดทางให้เข้าถึงทุน เข้าถึงคน เข้าถึงเทคโนโลยี ด้วยมาตรการทุนการให้สินเชื่อทันทีรายละ 50,000 บาท ในดอกเบี้ยต่ำ 1% ต่อปี พร้อมเสริมแต่งด้วยทักษะ ขณะที่ยังจะมี โชห่วยประชารัฐ ด้วยการยกระดับขีดความสามารถการค้าขายร้านค้าโชว์ห่วย ให้ใช้ระบบดิจิทัลมาช่วยสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ได้จากผู้ผลิตเป็นการลดต้นทุน โดยเป้าหมายเราจะสร้าง โชห่วยประชารัฐ ในทุกตำบล แล้วเสนอมาตราให้สินเชื่อ 1 ล้านบาทต่อโชว์ห่วย เพื่อปรับตัวในครั้งนี้
สุดท้าย นายอุตตม หัวหน้าพรรค กล่าวถึงการสร้างรายได้ระดับประเทศด้วย เราจะสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพิ่มรายได้ประเทศเป็น 19 ล้านล้านบาทภายในปี 2565 ด้วย 1.สร้างเศรษฐกิจดิจิทัล ขับเคลื่อนภาคการเกษตรฐานรากที่ยั่งยืน สร้างการลงทุนเพื่อเกิดการสร้างงานครั้งใหญ่ เพิ่มรายได้เป็น 2 ล้านล้านบาทภายในปี 2565 , 2.ตั้งเป้ารายได้ท่องเที่ยว 4.5 ล้านล้านบาทในปี 2565 , 3.สร้างรายได้เศรษฐกิจฐานรากเพิ่มขึ้น 2 ล้านล้านบาท ในปี 2565 สิ่งที่เราพูดและนำเสนอนี้ไม่ใช่พูดลอยๆ เพราะเราจะทำได้การปฏิรูปการจัดเก็บภาษีแบบบูรณการ ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น 3 แสนล้านบาท/ปี และยังดำเนินการในเรื่องสำคัญอื่นๆ อีก (รวม 7 เรื่อง) เช่น ปฏิรูปการบริหารสินทรัพย์ของประเทศ เน้นการลงทุนร่วมกับเอกชนเพื่อลดภาระงบประมาณของรัฐ , การปฏิรูปการบริหารจัดการของหน่วยงานภาครัฐโดยเฉพาะเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง ทั้งหมดนี้จะทำให้ประเทศ มีเงินเพิ่มเพื่อนำไปใช้ประมาณ 1,240,000 ล้านบาทต่อปี
นี่คือสิ่งพรรคพลังประชารัฐ กำลังเสนอว่ารายได้ระดับประเทศก็เพิ่มได้ อะไรที่เราทำก็เพราะพี่น้องเดือดร้อนมีปัญหาสะสม เราต้องการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความยากจน เราต้องการให้พี่น้องมีความหวัง และเราไม่ได้ทำแบบเลื่อนลอย เราดูแล้วว่าจะใช้เงิน เราก็หาเงินเป็น และทำได้จริงๆ เราจะเดินหน้าไปด้วยกัน ประเทศไทยต้องรวย ด้วยพลังประชารัฐ