'ดร.อาทิตย์' ร่วม #SaveDecha วอนเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่าจับ 'เดชา'
"อธิการบดี ม.รังสิต" ร่วมเรียกร้อง #SaveDecha วอนเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่าจับกุม “เดชา ศิริภัทร”ด้วยข้อหาครอบครองกัญชา ระบุเป็นคนที่คิดดีทำดีเสียสละเพื่อผู้อื่นและประชาชนที่ยากไร้มาตลอด อย่าให้มาถูกจับกุมด้วยข้อหาแบบศรีธนญชัย
จากกรณีตำรวจชุดป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สถานีตำรวจภูธรจังหวัดสุพรรณบุรี ทหารและเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 7 เข้าตรวจค้นภายในที่ทำการมูลนิธินิธิข้าวขวัญ ต.สระแก้ว อ.เมืองสุพรรณบุรี จับกุมนายพรชัย ชูเลิศ เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ พร้อมของกลาง กัญชา 200 ต้น น้ำกัญชาสกัด กัญชาบดแห้งและเมล็ดกัญชาตากแห้งบรรจุถุง เมื่อวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา ทั้งที่อยู่ในช่วงนิรโทษกรรม( 25 ก.พ - 25 พ.ค 2562) และเตรียมออกหมายเรียกนายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ เพื่อแจ้งข้อหาร่วมกันผลิตกัญชาและครอบครองกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาต หลังจากนายเดชาเดินทางกลับจากการเป็นวิทยากรในต่างประเทศ
ล่าสุด ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Arthit Ourairat เรียกร้องไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ให้ดำเนินคดีนายเดชา โดย ดร.อาทิตย์ ระบุว่า “ขอร้องเจ้าหน้าที่ตำรวจสุพรรณบุรีและทหาร ปปส ภาค 7 อย่าจับกุมอาจารย์เดชา ศิริภัทร คนทำดีของแผ่นดิน” พร้อมกับนำข้อความจากเฟซบุ๊ก มูลนิชีววิถี (BIOTHAI) มาโพสต์เพิ่มเติมว่า
“แม้เพียงพบกันครั้งแรก หลายคนคงสัมผัสได้ว่าเบื้องหลังงานของ “เดชา ศิริภัทร” ในฐานะครูผู้สอนเรื่องข้าวและเกษตรกรรมที่ยั่งยืน คือความเมตตาเพื่อให้ชาวนาและสังคมไทยหลุดพ้นจากความทุกข์ยากจากปัญหาความยากจน ก้าวข้ามระบบเกษตรกรรมและอาหารที่พึ่งพาสารพิษร้ายแรงทั้งหลาย โดยไม่หวังผลประโยชน์ใดๆเพื่อตนเอง
“เขาเป็นคนประเภทลงมือทำด้วยตนเอง และเอาชีวิตตนเองเข้าแลกเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น เคยรับประทานอาหารที่ประกอบไปด้วยเมล็ดธัญพืชหลากหลายชนิดบดแห้งอย่างเดียว ผสมน้ำ เป็นเวลาหลายปี เพื่อพิสูจน์ว่าชีวิตมนุษย์สามารถอยู่รอดได้ด้วยการบริโภคเพียงธัญพืช
“เขาสนใจเกี่ยวกับเรื่องกัญชารักษาโรคมานานมากกว่า 20 ปี และในช่วง 10 ปีมานี้เขาค้นคว้าเสาะแสวงหาความรู้ ทดลองด้วยตัวเอง และลงมือทำแจกจ่ายน้ำมันกัญชาเพื่อรักษาโรคแก่ผู้คนไม่เลือกหน้าให้หลุดพ้นจากโรคร้าย โดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน
“เดชา ศิริภัทร ทราบดีว่าการครอบครองและแจกจ่ายน้ำมันกัญชาเพื่อการรักษาโรคยังคงเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศที่มีกฎหมายล้าหลังเช่นประเทศไทย แต่เขายอมแลกกับการที่ตนเองต้องเสี่ยงสูญเสียอิสรภาพ เพื่อต่อสู้ให้มีการยกเลิก และปรับปรุงกฎระเบียบและกฎหมายที่ล้าหลังเหล่านี้เพื่อปลดปล่อยความทุกข์ยากของคนไทยที่ป่วยด้วยมะเร็ง และโรคภัยต่างๆ
“หลายคนมีเหตุผลในการต่อสู้เพื่อสังคมที่ดีกว่าและโลกที่ดีกว่า แต่สำหรับ “เดชา ศิริภัทร” แล้ว ผู้ที่รู้จักและติดตามเขาใกล้ชิด ทราบดีว่า เป้าหมายของชายผู้นี้ ไม่ใช่แค่เพียงการสร้างสังคมที่ดีกว่าในฐานะที่เป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิข้าวขวัญซึ่งจะครบรอบ 3 ทศวรรษในปี 2562 นี้เท่านั้น หากแต่คือการบำเพ็ญทานบารมี และช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากด้วยเมตตาธรรม เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนาเท่านั้น
ร่วมกันแชร์และส่งกำลังใจไปให้เพื่อนทุกคนในมูลนิธิข้าวขวัญ และร่วมกันต่อสู้เพื่อไม่ให้กฎหมายที่ตราออกมาเอื้ออำนวยกลุ่มทุนขนาดใหญ่ คนบางกลุ่ม เพิกเฉยต่อผู้เจ็บป่วย และไม่คุ้มครองประโยชน์ของสามัญชนคนส่วนใหญ่ในประเทศ”