อนุสัญญายาเสพติด ตีกรอบไปไม่ถึง 'เสรีกัญชา'
"สมศักดิ์" ชี้แจง ไทยเป็นภาคีสมาชิกอนุสัญญายาเสพติด ต้องรายงานสถานการณ์กัญชาป้องกันไม่ให้รั่วไหลสู่ตลาดมืด แนะผู้ป่วยขอใช้บริการทางการแพทย์ เผยหมอ-เภสัชฯ-แพทย์แผนไทย ผ่านอบรมแล้ว 3,300 ราย
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรววยุติธรรม กล่าว (29 ก.ค.) การใช้กัญชาเพื่อวิจัยทางการแพทย์ว่า ประเทศไทยอยู่ภายใต้อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 และอนุสัญญาว่าด้วยวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1971 ซึ่งอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับนี้ ยินยอมให้ใช้กัญชาทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์ได้ แต่รัฐบาลต้องคำนึงถึงความปลอดภัยต่อสุขภาพ และป้องกันการรั่วไหลไปยังตลาดมืด ซึ่งรัฐบาลต้องมีข้อกำหนดที่ชัดเจนในการอนุญาตให้ผลิต ปลูก หรือใช้กัญชาทางการแพทย์ที่จะต้องดำเนินการโดยมีระบบใบอนุญาต (Licensing System) เพื่อให้มั่นใจว่าตลาดกัญชาของรัฐนั้นๆ จะไม่เกินความต้องการใช้ทางการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์ โดยประเทศภาคีสมาชิกจะต้องรายงานให้คณะกรรมการการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศทราบเกี่ยวกับการดำเนินการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทที่ผิดกฎหมาย เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ
รมว.ยุติธรรม กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ที่มีสิทธิ์ปลูกกัญชาจะต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยผู้ที่ต้องการขออนุญาตปลูกกัญชาจะต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด ได้แก่ หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ศึกษาวิจัยหรือจัดการเรียนการสอนทางการแพทย์ เภสัชศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือเกษตรศาสตร์ หรือมีหน้าที่ให้บริการทางการแพทย์ หรือเภสัชกรรม หรือวิทยาศาสตร์ หรือให้บริการทางเกษตรกรรม เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ หรือเภสัชกรรม หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ในการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด หรือสภากาชาดไทย , เกษตรกรที่รวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชนที่อยู่ภายใต้หน่วยงานของรัฐ หรือสถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่มีการเรียนการสอนและวิจัยทางการแพทย์หรือเภสัชศาสตร์ และผู้ขออนุญาตอื่นๆ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวงสาธารณสุข
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนผู้ป่วยที่มีความประสงค์ใช้กัญชาเพื่อรักษาโรค ขณะนี้มีสถานพยาบาลทั่วประเทศที่มียากัญชาที่มีคุณภาพ มาตรฐาน และปลอดภัย ใช้ในทางการแพทย์อย่างเพียงพอ มีการกระจายยาทั่วถึงและเป็นระบบ รวมทั้งมีแพทย์และเภสัชกรที่ผ่านการอบรม 400 คน มีแพทย์แผนไทยผ่านการอบรม 2,900 คน ซึ่งผู้ป่วยจะสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ในสถานพยาบาลที่มีมาตรฐานภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อการรักษาที่มีสิทธิภาพสูงสุด