สรรพากรลงนาม 160 ประเทศ อุดช่องโหว่อี-เซอร์วิส
สรรพากรลงนามบริหารภาษีกับ160 ประเทศเพื่ออุดช่องโหว่กฎหมายอี-เซอร์วิส จัดเก็บภาษีบริษัทต่างชาติ ขณะที่เตรียมลดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย ผ่าน e-Withholding Tax เหลือ 2% ตั้งแต่ 1ต.ค.เป็นต้นไป ลดความยุ่งยากในการจ่ายภาษีเงินได้
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรได้ร่วมลงนามสนธิสัญญาภาคีสมาชิกเพื่อร่วมบริหารภาษีระหว่างประเทศ ( Mutual assistant on tax administration) กับ 160 ประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เยอรมนี ออสเตรเลีย เป็นต้น เพื่อให้กรมสรรพากรแต่ละประเทศสามารถส่งข้อมูลบริษัทจดทะเบียนในประเทศตนเองมาให้กรมสรรพากร เพื่อนำมาประเมินภาษีที่ต้องจัดเก็บหากมีบริษัทต่างชาติ เปิดให้บริการแพลตฟอร์มในประเทศไทย
ทั้งนี้ การใช้วิธีนี้จะเป็นการอุดช่องโหว่ ในการบังคับใช้พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) จัดเก็บภาษีอี-เซอร์วิสหรือการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต)จากแพลตฟอร์มดิจิทัลจากต่างประเทศ ที่ไม่มีบริษัทลูกในประเทศไทย ที่มีรายได้จากค่าบริการตั้งแต่ 1.8 ล้านบาทขึ้นไป จะต้องยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในไทย เพื่อเสียแวต ในอัตรา 7% จากรายได้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอสภาผู้แทนราษฎร เพื่อบังคับใช้
"ก่อนจะเข้าคณะรัฐมนตรี(ครม.) คณะกรรมการกฤษฎีกาได้แนะนำกรมสรรพากรว่า หากกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ และถ้าบริษัทดิจิทัลต่างชาติไม่ยอมทำตามกฎหมายที่รัฐบาลออกมาจะทำอย่างไร และจะใช้อำนาจอะไรไปบังคับจัดเก็บภาษี เพราะหลายประเทศแม้จะออกกฎหมายมาแต่ในทางปฏิบัติ ไม่สามารถจัดเก็บภาษีจากบริษัทต่างชาติได้ทั้งหมด
ดังนั้น กรมสรรพากรจึงได้ไปหารือกับประเทศที่มีการจัดเก็บภาษีจากผู้ให้บริการต่างประเทศ และกลุ่มองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา(โออีซีดี) ซึ่งหลายประเทศออกข้อบังคับ หรือกฎหมายใหม่มาใช้ในการจัดเก็บภาษีจากบริษัทเหล่านี้ ซึ่งกรมสรรพากรเห็นว่าเป็นวิธีที่ดี จึงมีการลงนามเพื่อบริหารภาษีระหว่างประเทศ"
นอกจากนี้กรมสรรพากรเตรียมจะออกประกาศกรมสรรพากรในการลดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Withholding Tax) จากเดิมอยู่ที่อัตรา 3% เหลือ 2% ระหว่างวันที่ 31 ต.ค. 2563 - 31 ธ.ค.2564 โดยจะให้ธนาคารพาณิชย์ เป็นตัวกลางในการหักภาษี ณ ที่จ่าย ผ่านระบบ e-Withholding Tax ทำให้ผู้ใช้บริการไม่ต้องเก็บหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย ในรูปแบบกระดาษอีกต่อไป เพราะธนาคารจะเป็นผู้ส่งข้อมูลให้กับกรมสรรพากรโดยตรง เพราะข้อมูลจะถูกบันทึกอยู่ในระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะทำให้กระบวนการคำนวณภาษีและการจ่ายภาษีคืนรวดเร็วขึ้น
“วิธีนี้จะช่วยให้ธนาคารและบริษัทจดทะเบียนต่างๆ ลดต้นทุนค่ากระดาษที่ต้องปริ๊นเป็นจำนวนมาก จากเดิมหากไปใช้บริการการเงินที่ธนาคาร จะมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ ซึ่งธนาคารจะต้องปริ๊นใบหักภาษี ณ ที่จ่าย มาให้ผู้ใช้บริการเก็บไว้ เพื่อนำไปยื่นกรมสรรพากรตรวจสอบภาษีช่วงท้ายปี ซึ่งประชาชนบางรายอาจทำหาย หรือบางรายเมื่อถึงเวลาชำระภาษี อาจจะลืมว่ามีใบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอยู่เพราะได้รับตั้งแต่ต้นปี ทำให้เกิดความยุ่งยากในการยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล”
อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลผ่านระบบออนไลน์แล้วกว่า 90% เหลืออีกจำนวน 10% ที่ยังส่งแบบชำระภาษีรูปแบบเดิมอยู่ ส่วนในปีนี้กรมสรรพากรคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไปแล้วประมาณ 2.8 ล้านราย คิดเป็น 95% ของจำนวนผู้ที่ขอคืนภาษี 2.91 ล้านแบบ หรือคิดเป็นวงเงินประมาณ 3หมื่นล้านบาท ส่วนนิติบุคคลกรมสรรพากรคืนภาษีไปแล้วกว่า 2.8หมื่นล้านบาท