'จตุพร' ประเมินม็อบเข้าระยะ3 เตือนนายกฯงัดม.112กระทบสถาบัน
'จตุพร พรหมพันธุ์' ประธานนปช.ประเมินประเมินม็อบเข้าระยะ3 จี้นายกฯรับผิดชอบ งัดม.112 เสี่ยงกระทบสถาบัน
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการลมหายใจพีซทีวี เวทีทัศน์ ว่า สถานการณ์การเมืองและการเคลื่อนไหวในประเทศที่ผ่านมานั้นตนเคยพูดอยู่เสมอว่า การเมืองมีอยู่เพียง 3 ระยะในการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดก็ตาม หากทุกคนลองนึกดูว่าการขับเคลื่อนของนปช.นั้นก็จะเป็นไปด้วยความสวยสดงดงาม ระยะที่ 2 การเคลื่อนไหวจะเป็นไปด้วยความแข็งแรงมากที่ และสุดระยะที่ 3 เมื่อกลไกรัฐในขณะนั้นตั้งหลัก คือ ระยะตะลุมบอนและเวลานี้ตนก็ประเมินสถานการณ์การชุมนุมของคนรุ่นใหม่ว่า เดินมาสู่ในระยะที่ 3 แม้จะมีการปกป้องแนวทางสันติวิธีทุกประการก็ตาม
ดังนั้นในแต่ละเหตุการณ์ไม่ใช่ว่าแต่ละฝ่ายต้องการให้เกิดเรื่อง แต่มือที่ 3 เท้าที่ 4 พร้อมจะใส่เสื้อทั้ง 2 ทาง และการสร้างสถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายรูปแบบจะไม่เปลี่ยนแปลงไป ครั้งล่าสุดที่รัฐสภาเกียกกายถือว่าโชคดีที่ยังไม่มีใครตาย และรูปแบบก็เป็นแบบเดียว จนสุดท้ายนำไปสู่การปะทะกัน และระหว่างนั้นจะมีลูกผสมเข้ามามากมาย ดังนั้น สถานการณ์ขณะนี้ที่ตนต้องส่งเสียงไปยังรัฐบาล ว่า กลเกมต่างๆและลูกผสมต่างๆส่วนใหญ่รัฐในขณะนั้นๆ จะเข้ามามีบทบาทในการสร้างสถานการณ์ทุกครั้ง และครั้งเมื่อเลือดได้หลั่ง แล้วมันจะหยุดยาก แต่หากรัฐไม่ต้องการจะให้เกิดเรื่อง ก็ขอให้จำปากตนไว้อย่างหนึ่งว่า ตำรวจรู้ทุกเรื่อง หากตำรวจเอาจริงเอาจัง และได้รับการกำชับมานั้น รอดสายตาตำรวจยากมาก
อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีกล้องวงจรปิดจำนวนมาก สามารถบันทึกภาพไว้ได้หมดเพียงแต่วัตถุประสงค์จะเก็บภาพเหล่านั้นไว้เพื่ออะไร เช่น ต้องการภาพชายใส่เสื้อสีชมพูยิงไปอีกฝั่งหนึ่งแต่ไม่ปรากฏว่าอีกฝั่งนั้นได้รับบาดเจ็บแม้แต่คนเดียว ขณะเดียวกันก็มาอธิบายว่า กระสุนผิดพลาดมาเจอพวกเดียวกันเอง ทั้งหมดเป็นสูตรเดิมที่ปฏิบัติกันมายาวนานและตนก็เชื่อว่ากระบวนการอย่างนี้ที่เจอกันมากว่า 15 ปีนั้นมันควรที่จะหยุดกันเสียทีและคนที่จะหยุดได้ก็คือรัฐ โดยวันนี้ยังเป็นการดูแลของทางตำรวจอยู่ แม้ว่าทหารจะสแตนบายต่างๆก็ตาม
นายจตุพรกล่าวถึง การใช้เสื้อเหลืองในการขับเคลื่อนทางการเมือง ว่า เวลานี้เสื้อเหลืองแยกเป็น 2 กลุ่มชัดเจน กลุ่มหนึ่งเป็นเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ / จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่มีลักษณะที่จะก้าวร้าวใดๆเพราะเป็นสุภาพชน ส่วนเสื้อเหลืองที่จัดโดยนักการเมือง จะเห็นได้ชัดว่าพวกนี้พร้อมจะไล่ตีกับใครก็ได้และความเป็นจริง เสื้อเหลืองกลุ่มนี้ เข้าข่ายทำลายสถาบันกันเสียด้วยซ้ำ เพราะจะเห็นได้ชัดเจนว่า ที่หน้ารัฐสภา กลุ่มไทยภักดีที่มารอบเช้านั้นกลับไปแล้ว แต่ปรากฏว่าคนที่ต้องการเรื่องก็จัดชุดใหม่มาและข่าวกระแสก็เต็มกันไปหมดว่าเป็นคนของรัฐบาลที่ขนรถบัสมา 11 คัน
แต่สุดท้ายหัวหน้ารัฐบาลก็ไม่ได้จัดการอะไร และวันนั้นมีการบาดเจ็บร่วม 50 กว่าคน โดนกระสุนปืนไป 6 คน แต่ยังไม่มีใครตาย แต่ถามว่าเอาเสื้อเหลืองเข้ามาในลักษณะอย่างนี้นั้นตนมองว่า เป็นการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เสียเอง /ไม่ใช่เป็นการปกป้องสถาบันกษัตริย์ แต่เอาคนเสื้อเหลืองมาปกป้องนักการเมืองและก็ทำลายสถาบันกษัตริย์ไปในตัวด้วย ดังนั้นเมื่อภาพยิ่งปรากฏในลักษณะความรุนแรงเช่นนี้ผลลัพธ์ก็เกิดขึ้นกับสถาบัน
ส่วนกรณีการใช้มาตรา 112 นั้นจริงๆแล้วหลังจากการยึดอำนาจคราวนี้เป็นการใช้มาตรา 112 มากที่สุด จนกระทั่งวันหนึ่งก็มีแนวพระราชประสงค์ออกมาว่าจะไม่ทรงดำเนินคดีมาตรา 112 ตอนที่พลเอกประยุทธ์ออกมาอธิบายเรื่องมาตรา 112 รอบแรกนั้นอธิบายข้อความส่วนเดียว เพราะในวรรคต่อจากนั้นคือคนที่จะตัดสินว่าจะดำเนินคดี 112 หรือไม่ มีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้น คืออัยการสูงสุด โดยการขอความเห็นจากสำนักพระราชวัง ดังนั้นที่มีการประกาศกันอีกครั้งเป็นแถลงการณ์ของพลเอกประยุทธ์ที่จะมีการแจ้งมาตรา 112
ดังนั้นพลเอกประยุทธ์ต้องยอมรับความผิดพลาดตั้งแต่รอบแรกในการประกาศเพราะดูเสมือนว่าไม่มีอะไร แต่ข้อเท็จจริงยังมีเรื่องอัยการสูงสุดเพื่อป้องกันการแกล้งกัน และที่ผ่านมาการแกล้งกันด้วยมาตรา 112 มีจำนวนมาก และลงโทษกันแต่ละครั้งนั้นจำนวนปีมากมาย เพราะฉะนั้นเมื่อประกาศมาตรการขณะนี้นั้นตนอยากจะสื่อความไปยังรัฐบาลว่าที่ทำลงไปนั้น เป็นผลดีกับรัฐบาลหรือจะเป็นผลดีกับสถาบัน หรือจะเป็นผลร้ายกับสถาบันหรือเป็นผลดีกับรัฐบาลแต่เป็นผลร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์