“ปิยบุตร” ชี้ 2 ปัญหาโครงสร้างการเมืองไทย ปลุกทลายกรงขังล้อมคอกนักการเมือง
“ปิยบุตร” ปลุกนักการเมืองทลายกรงขังทางกฎหมาย ล้อมคอกจนไม่กล้าทำอะไร ชี้ปัญหา 2 ประการจากโครงสร้าง-ระบบที่เป็นอยู่ ทำลายความคิดสร้างสรรค์ วัน ๆ หมกมุ่นกับตัวอักษรในกฎหมาย สยบยอมระบบอุปถัมภ์-เครือข่ายอิทธิพล-กลไกรัฐ-อำนาจเงิน จนไม่กล้าผลักดันประเด็นก้าวหน้า
เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2565 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า กล่าวถึงโครงสร้างและระบบการเมืองไทย ที่ “ล้อมคอก” นักการเมือง แบ่งเป็น 2 ประการ ได้แก่
ประการแรก ทำลายความคิดสร้างสรรค์ โดยรัฐธรรมนูญ กฎหมาย กฎระเบียบ ถูกออกแบบมาจนทำให้นักการเมืองทำอะไรไม่ได้ ซึ่งกฎเหล่านี้มาในนามของการตรวจสอบ ป้องกันการทุจริตคอรัปชั่น เป็นต้น นักการเมืองถูกทำให้เป็นวายร้าย จนต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้น ทำให้แทบสร้างสรรค์สิ่งใหม่ไม่ได้ ความคิดสร้างสรรค์ถูกล้อมกรอบไว้ด้วยกรงขังกฎหมาย ที่บังคับให้ต้องเดินตามระบบราชการและเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นคนเขียนกฎและคุมกฎ หากไม่อยากเสี่ยงภัยก็ต้องไปถามระบบราชการเสียก่อน กลายเป็นว่านักการเมืองของประชาชน ที่ควรคิดริเริ่มทำประโยชน์ให้ประชาชน กลายเป็นนักการเมืองที่ต้องขออนุญาตจากระบบราชการว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ไม่น่าแปลกใจว่าทำไม ประเทศไทยจึงไม่อาจมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงได้ ประเทศนี้อนุญาตให้มีแต่ปลัดประเทศแห่งระบบราชการไทย
ประการที่สอง โครงสร้างและระบบการเมืองไทยบังคับให้นักการเมืองต้องสยบยอม คนที่มาเป็น ส.ส.ด้วยอุดมการณ์เต็มเปี่ยม เข้าสภาอย่างมุ่งมั่นเป็นนักการเมืองแบบใหม่ แต่แล้วพอได้รู้จักนักการเมืองคนอื่น ๆ ผู้มากประสบการณ์และอิทธิพลเงินตรา ก็ทำให้เรียนรู้ว่าหากอยากได้รับการเลือกตั้งอีก ต้องมีเงิน มีทรัพยากร เพื่อใช้ดูแลประชาชนในพื้นที่ เพราะประชาชนในพื้นที่เรียกร้องให้ ส.ส.ดูแล ทำให้สุดท้ายตัดสินใจรับผลประโยชน์ ทรยศต่อเสียงของประชาชน
“นี่คือ ระบบอุปถัมภ์ เครือข่ายอิทธิพล กลไกรัฐ อำนาจเงิน ที่ครอบงำการเมืองไทยไว้ จนทำให้นักการเมืองต้องสยบยอม ถ้าอยากเป็น ส.ส. อีก ก็ต้องเรียนรู้อยู่ให้เป็น และกรงขังกฎหมายที่วางล้อมนักการเมืองเอาไว้ ทำให้นักการเมืองไม่กล้าที่จะแสดงออกอย่างก้าวหน้ามากนัก เมื่อใดก็ตามที่นักการเมืองคิดผลักดันประเด็นที่ก้าวหน้าท้าทายกลุ่มชนชั้นนำผู้มีอำนาจ ก็ต้องกังวลทุกครั้งว่าจะถูกกรงขังกฎหมายเด็ดหัวหรือไม่ เริ่มออกนอกกรอบนอกกรงเมื่อไรก็มีอันต้องถูกหวดถูกตีให้กลับเข้ามาอยู่ในกรง ใครที่แหลมมาก ก็ถูกจัดการสั่งสอน ปลดออก คดีอาญา เข้าคุก ยุบพรรค ตัดสิทธิ จนทำให้นักการเมืองคนอื่นๆ ไม่กล้าเอาเยี่ยงอย่าง" นายปิยบุตร ระบุ
นายปิยบุตร กล่าวด้วยว่า หากเราต้องการให้นักการเมืองไทย เป็นผู้แทนของราษฎรอย่างแท้จริง มิใช่เป็นอำมาตย์คนใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง หากเราต้องการให้นักการเมืองไทยกล้าหาญผลักดันประเด็นแหลมคมและจำเป็นต่อยุคสมัย โดยไม่ต้องเกรงกลัวต่อภัยใด หากนักการเมืองไทยปรารถนาเป็น ส.ส. แบบปฏิวัติ มากกว่าเป็น ส.ส. แบบราชการ หากนักการเมืองไทยต้องการสร้างสรรค์ผลงาน มากกว่าจ้องจับผิดตีกันเองจนสุดท้ายชนชั้นนำของระบอบ ทหาร ศาล ข้าราชการระดับสูง ก็ขึ้นมาขี่คอตนเอง ต้องร่วมมือกันทลายกรงขังทางกฎหมายที่ล้อมคอกนักการเมืองเอาไว้ หยุดการเป็นไก่ในเข่งที่ตีกันเองแล้วให้พวกเขาเป็นเจ้าของเข่ง เจ้าของไก่ จะเอาเราไปฆ่าทิ้งเสียเมื่อไรก็ได้