เศรษฐกิจผันผวน-การเมืองไม่นิ่งฉุดคนชะลอซื้อบ้าน-คอนโด

เศรษฐกิจผันผวน-การเมืองไม่นิ่งฉุดคนชะลอซื้อบ้าน-คอนโด

อสังหาฯยังคงเผชิญความท้าทายจากสถานการณ์เศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ผนวกกับสถานการณ์การเมืองที่มีความไม่แน่นอนสูง ฉุดคนชะลอซื้อบ้าน-คอนโดแม้ว่าจะมีกำลังซื้อก็ตาม

ภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด(มหาชน)กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯคนยังมีกำลังซื้อโดยเฉพาะตลาดลักชัวรี แม้ว่าอัตราการเข้าเยี่ยมชมยังปกติ แต่การตัดสินใจซื้อช้า ใช้เวลาศึกษาข้อมูลมากขึ้น ไม่เร่งรีบ ชะลอรอดูสถานการณ์การเมือง เศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ทำให้ภาพรวมไม่กระตุ้นอารมณ์ให้คนอยากซื้อบ้าน หรือรีบตัดสินใจซื้อเหมือนสมัยก่อน ทั้งที่มีกำลังซื้อ สังเกตจากจำนวนคนที่สนใจเข้ามาเยี่ยมชมโครงการเพิ่มขึ้น เนื่องจากสมัยก่อนหาเงินง่าย ดอกเบี้ยต่ำ การเมืองนิ่ง จึงไม่ได้มองว่าการซื้ออสังหาฯเป็น“ภาระ” แต่ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนไปกว่าจะตัดสินซื้อต้องเข้าเยี่ยมชมโครงการหลายครั้ง

“ยิ่งโครงการที่มีราคาแพงใช้เวลานาน2-3เดือนจากสมัยก่อนไม่เกิน2 ครั้งตัดสินใจซื้อแล้วแต่ปัจจุบัน 3-4ครั้งขึ้นไป การขายยากขึ้นตามไปด้วยแต่ยังสามารถขายได้เรื่อยๆเดือนละ7-8ห้องแต่ไม่หวือหวาเหมือนสมัยก่อน”
 

ปัจจุบันกลุ่มคนซื้อส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัย หรือเรียลดีมานด์ มากกว่าเป็นการซื้อเพื่อลงทุน ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้ประกอบการอสังหาฯที่เป็นเจ้าของโครงการ เพราะกลุ่มเรียลดีมานด์มักไม่ทิ้งดาว์นเมื่อถึงเวลาโอนกรรมสิทธิ์ ดังนั้นบริษัทจึงพัฒนาห้องขนาด2-3ห้องนอนเพื่อรองรับกลุ่มซื้อเพื่ออยู่เองมากกว่าซื้อเพื่อลงทุนคิดเป็นสัดส่วน 80 :20 ตามลำดับ

สอดคล้องกับนางสาวพราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกจาก จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะรัสเซียที่เข้ามาซื้ออสังหาฯในภูเก็ต แต่ตลาดนักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับมาเหมือนเดิมแต่แนวโน้มไตรมาส3คาดกาณ์ว่า จีนเข้ามามากขึ้นจากเดิมที่หายไป ซึ่งดึงกลุ่มคนซื้ออสังหาฯกลับเข้ามาด้วย ซึ่งเป็นกลุ่มคนซื้อที่มีกำลังซื้อ แต่จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน ทำให้การตัดสินซื้อช้า

ภูมิพัฒน์ กล่าวต่อว่า การทำตลาดอสังหาฯ ต่อจากนี้ไปต้องปรับกลยุทธ์การทำตลาดต้องโฟกัส ไม่หว่านแห เหมือนสมัยก่อน เพราะเป็นการทำสงครามระยะยาว การทำตลาดจึงต้องแม่นยำเพื่อประหยัดงบและให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ล่าสุด บริษัทให้ความสนใจกับการขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะเมียนมา ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงระดับเศรษฐีที่สนใจเข้ามาซื้อคอนโดหรูในกรุงเทพฯ ล่าสุดมีชาวเมียนมา เข้ามาเยี่ยมชมคอนโดโครงการรมย์ คอนแวนต์ สนใจที่ซื้อ2-3 ยูนิต อยู่ระหว่างการตัดสินใจ ในระดับราคาราคายูนิตละ 30 ล้านบาท

“ ลูกค้าเมียนมาเพิ่งเริ่มเข้ามาในตลาดคอนโดปลายปีที่ผ่านมา เริ่มจากการดูสินค้าพร้อมอยู่ก่อนและซื้อขนาดใหญ่ แต่ทางพราวยังไม่ได้ทำตลาดจริงจังอยู่ระหว่างการศึกษาตลาดเพื่อขยายฐานลูกค้าต่างประเทศ ”

นางสาวพราวพุธ กล่าวเสริมว่า คนเมียนมาที่ซื้ออสังหาฯไทย ส่วนใหญ่เป็นระดับเศรษฐี และหากดูจากข้อมูลของพารากอนและเซ็นทรัล Top spender หรือ ผู้ที่มีการซื้อสินค้าหรือบริการจากทางร้านมากที่สุดเป็นลูกค้าที่มาจากประเทศ CLMV เยอะมาก ซึ่งคนกลุ่มนี้นิยมซื้อคอนโดห้องขนาดใหญ่ หรือเป็นเพนท์เฮ้าส์ แต่ด้วยสถานการณ์ในประเทศเขาทำให้การทำตลาดยาก หลักๆจึงทำการตลาดผ่านตัวแทนขายเป็นหลัก

อย่างไรก็ตามปัจจุบันหลังจากเปิดตัวโครงการ รมย์ คอนแวนต์ มูลค่า 4,150 ล้านบาทมาประมาณ 5 เดือนมียอดขาย 1,400 ล้านบาท คาดว่าในปีหน้าจะสามารถทำยอดขาย80% และโครงการจะสร้างเสร็จในอีก3ปี

สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรก 2566 รายได้รวม 1,192 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,082 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 110 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 984% และมีกำไรสุทธิ 147 ล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 58 ล้านบาท ส่วนทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายฐานการสร้างรายได้ให้กว้างขึ้น วางแผนซื้อที่ดินแปลงใหม่เพิ่ม รวมถึงมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย