ตราเพชรชูบริการติดตั้งหลังคารับดีมานด์ลูกค้าโครงการอสังหาฯพุ่ง
ตราเพชรชูDiamond Roof Solution ผลิตภัณฑ์หลังคาพร้อมบริการติดตั้งด้วยทีมงานมืออาชีพ พร้อมลงทุนเพิ่มกำลังผลิตโครงหลังคาสำเร็จรูปรับดีมานด์ลูกค้าโครงการอสังหาฯกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT ผู้ผลิตและจำหน่ายระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์และบอร์ดไฟเบอร์ซีเมนต์ บอร์ดตกแต่งผนัง อิฐมวลเบา และบริการติดตั้งโครงหลังคาและกระเบื้องหลังคา‘ตราเพชร’ เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งทำตลาดระบบหลังคาในรูปแบบ Diamond Roof Solution โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าแบบครบวงจร
ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์กระเบื้องหลังคาทั้งแบบเรียบและแบบลอน ผลิตภัณฑ์โครงหลังคาสำเร็จรูป (Diamond Truss)พร้อมทีมติดตั้งด้วยช่างมืออาชีพที่จะออกแบบและประเมินราคาวัสดุที่ใช้ในการติดตั้งหลังคาทุกรูปทรงช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จากแผนพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มเติมทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์หลังคาที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในผลิตภัณฑ์ระบบหลังคาและแบรนด์สินค้าที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทได้นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงานเพื่อควบคุมการดำเนินการออกแบบและติดตั้งระบบหลังคาให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ติดตั้งโครงหลังคาเป็นไปอย่างรวดเร็ว แม่นยำ ประหยัดเวลาและต้นทุนค่าแรงงาน ควบคู่กับถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการติดตั้งให้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้างหรือทีมช่างเพื่อให้งานติดตั้งได้มาตรฐานตามที่กำหนด สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าทุกราย
"โมเดลการทำตลาดในรูปแบบ Diamond Roof Solutionทำให้เราสามารถตอบโจทย์ความต้องการลูกค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นเอเยนต์รายใหญ่ที่ให้ความสนใจเข้ามาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย"
นายสาธิต กล่าวว่า ความสำเร็จของการทำตลาด Diamond Roof Solution ที่ผ่านมาทำให้ DRT ได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำมาอย่างต่อเนื่องและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น บริษัทจึงได้ลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตโครงหลังคาสำเร็จรูป
คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมกับโครงการขยายกำลังการผลิตกระเบื้องหลังคาคอนกรีตอีก 100,000ตันต่อปีที่ได้ลงทุนก่อนหน้านี้ โดยคาดว่าสามารถเดินเครื่องจักรผลิตสินค้าเชิงพาณิชย์ได้ภายในกลางปี 2567 เพื่อช่วยส่งเสริมความสามารถการแข่งขันและรับโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีถัดไปและช่วยผลักดันการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง