เศรษฐกิจไม่ฟื้น!ฉุดอสังหาฯปี67 ทรงตัวลูกค้าเบบี้บูมเมอร์Big Spender
เทอร์ร่าบีเคเค เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นอสังหาฯปี66 ร่วงคนชะลอซื้อที่อยู่อาศัย ระบุอสังหาฯปี67 ‘ทรงตัว’ เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นชี้เทรนด์ต้องการบ้านรองรับการพักผ่อน&ทำงาน ตอบโจทย์วิถีชีวิตที่ยั่งยืน แนะผู้ประกอบการอสังหาฯปรับตัวพัฒนาสินค้ารับกำลังซื้อเปราะบาง
โดย"ผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการซื้ออสังหาริมทรัพย์” ของ เทอร์ร่า บีเคเค ระหว่างเดือน ต.ค.-พ.ย. 2566ที่ผ่านมา จากแบบสอบถามออนไลน์กับกลุ่มตัวอย่าง 2,000 คนที่สนใจข่าวสารอสังหาฯ หรือ วางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัย อายุ 18 ปีขึ้นไป มีรายได้ส่วนตัวมากกว่า 12,000 บาท/เดือน และรายได้ครัวเรือนมากกว่า 15,000 บาท/เดือน พบว่า ผู้ตอบกว่า 42% มีแผนจะซื้อบ้านในช่วง 3 ปีต่อจากนี้โดยส่วนใหญ่มีความต้องการซื้อบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ในระดับราคาตั้งแต่ 3 – 7 ล้านบาท
สุมิตรา วงภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าวว่า ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 78% วางแผนที่จะซื้อ “บ้านเดี่ยว ” ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเบบี้ บูมเมอร์ ที่อายุมากกว่า 56 ปีขึ้นไป และกลุ่มเจน วายอายุ 28-41 ปี รองลงมาเป็นกลุ่มทาวน์โฮมมีสัดส่วน 47% โดยเป็นกลุ่มเจน เอ็กซ์ อายุ 46-56 ปี และเจน วายอายุ 18-27 ปี ส่วนคอนโดมิเนียมมีผู้วางแผนซื้อ27% ซึ่งเป็นกลุ่มเจน แซดและเจน วายในระดับราคา 2-7 ล้านบาท โดยปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจซื้อบ้านปีนี้คนส่วนใหญ่ให้ความใส่ใจเรื่องวัสดุก่อสร้างกันมากขึ้น รองลงมาคือ ระบบรักษาความปลอดภัย, สังคมและสิ่งแวดล้อมและบริการหลังการขาย
โดยพฤติกรรมคนซื้อส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับพื้นที่มากขึ้นทั้งห้องนอนและห้องห้องนั่งเล่น ต้องมีฟังก์ชั่นที่ตอบสนองความในการทำงาน( Work at Home) รวมถึงมีความต้องการพื้นที่สีเขียวนอกตัวบ้านมากขึ้น ซึ่งสอดรับกับแนวคิด “sustainable lifestyles” จากผลวิจัยที่พบว่า ความต้องการบ้านในอุดมคติ จะประกอบด้วย 3 ด้าน คือ Comfortable and Convenience Living, Safe and Secure Environment และ Well-Being
ทั้งนี้จากผลวิจัยจะเห็นว่า sustainable lifestyles ของคนแต่ละกลุ่มมีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน โดยกลุ่มเจน แซดจะใส่ใจเรื่องการเดินทาง โดยส่วนใหญ่จะเน้นการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ส่วนกลุ่มเจน วาย จะให้ความใส่ใจด้านพลังงาน เช่น การเปิด-ปิดไฟเมื่อไม่จำเป็น, กลุ่มเจน เอ็กซ์จะเป็นคนที่สนใจเรื่องอาหาร และสุขภาพ เช่น ลดการกินเนื้อสัตว์ หรือกินพืชผักตามฤดูกาล และกลุ่มเบบี้ บูมเมอร์หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องเทคโนโลยีสีเขียว อาทิ โซล่าร์เซลล์มากขึ้น
ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนถึงความต้องการบ้านของผู้บริโภคที่สอดรับกับ “วิถีชีวิตที่ยั่งยืน” ซึ่งเป็นแนวทางในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ อาทิ การออกแบบ Universal design, มีพื้นที่ห้องสปาหรือโปรแกรมบริการการฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย, มีกิจกรรมเพื่อสุขภาพและกายภาพบำบัด, บริการช่วยเหลือเรื่องสุขภาพ, บ้านประหยัดพลังงาน โซลาร์เซลล์ /ฉนวนกันความร้อน, ระบบกรองอากาศ PM2.5 และไวรัส, นวัตกรรมที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบาย เช่น สมาร์ทโฮม , อีวี ชาร์จเจอร์, ระบบการคัดแยกขยะอย่างแท้จริง เพื่อลดขยะและรักษาสิ่งแวดล้อม, การก่อสร้างที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และลดการปล่อยคาร์บอน
ด้านแนวโน้มความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปี2566 พบว่า ค่าดัชนีอยู่ที่ 76% “ลดลง” 4% เมื่อเทียบจากปีก่อนที่ 80% แม้ในภาพรวมค่าดัชนีจะลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน แต่ในแง่ของการซื้อสินค้ามูลค่าสูง เช่น อสังหาฯ, รถยนต์
ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงมองว่าช่วงนี้“ไม่ใช่”โอกาสดีในการซื้ออสังหาฯ ทั้งจากภาพรวมเศษรฐกิจที่ยังชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น ความเข้มงวดของสถาบันการเงิน รวมถึงราคาอสังหาฯที่ปรับตัวสูงขึ้นตามค่าก่อสร้างใหม่ ซึ่งมีผลต่อการขอสินเชื่อใหม่ทำให้ลูกค้าบางกลุ่มต้อง“ชะลอ”การตัดสินใจซื้อออกไปจนถึงปี2567 โดยเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังซื้ออย่างวิศวะ แพทย์ เริ่มมีความไม่มั่นใจในรายได้ถือเป็นเรื่องที่น่ากังวล !
“หลังจาก2-3 ปีที่ผ่านมาดีมานด์กลุ่มดังกล่าวช่วยพยุงตลาด เนื่องจากกำลังซื้อตลาดกลาง ล่างได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจ รวมทั้งการหายไปของดีมานด์ต่างชาติ ”
สอดคล้องกับข้อมูลจาก TerraBYTE แอปพลิเคชั่น เมื่อนำข้อมูลโครงการแนวราบเปิดตัวใหม่ในปี2566 เปรียบเทียบกับข้อมูลพฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยจากผลวิจัยจะพบว่า โครงการในเซกเมนต์ระดับบนราคามากกว่า 20 ล้านบาทมีปริมาณซัพพลายมากกว่าความต้องการซื้อ สะท้อนให้เห็นว่า บ้านระดับบนเริ่มเกิด “โอเวอร์ซัพพลาย “
ภาพรวมตลาดคอนโดตั้งแต่ปี2558-2566ปรับตัว“ลดลง”ทั้งปริมาณซํพพลายและอัตราการขาย แต่หากมองในระยะสั้น นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด -19 ตั้งแต่ปี 2563- 2566 จะเห็นว่า ในกลุ่มอีโคโนมีและแมส เซกเมนต์ เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่และอัตราการขาย แต่ในกลุ่มระดับราคา150,000บาท/ตร.ม.ขึ้นไป อยู่ในช่วง“ทรงตัว”
ขณะที่ตลาดทาวน์โฮมอยู่ในช่วงที่กำลังฟื้นตัว! ปริมาณการเปิดตัวโครงการใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้โดดเด่นมากนัก แต่จะเป็นได้ว่า อัตราการขาย มีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ที่มีอัตรราการขายเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ภาพรวมตลาดบ้านเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่ม5 ล้านบาทขึ้นไปมีแนวโน้มเติบโตชัดเจน ทั้งปริมาณซัพพลายที่เพิ่มขึ้นและอัตราการขายที่เติบโต สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดบ้านถูกดูดซับอย่างต่อเนื่อง
“ ในปีหน้าถือว่าเป็นปีที่ท้าทายตลาดอสังหาฯ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในประเทศยังไม่ดีขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากเศรษฐกิจโลก ผู้บริโภค เข้าสู่โหมด Wait & See ดังนั้นผู้ประกอบการต้องปรับตัวด้วยการพัฒนาสินค้าที่สามารถตอบสนองความต้องลูกค้าถูกต้องแม่นยำมากขึ้น ทั้งแง่ของสินค้า บริการ โลเคชันรวมถึงราคา ที่อาจปรับลดลงหรือมีแคมเปญลดแลกแจกแถมเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้ออีกครั้ง หลังจากที่มีการปรับราคาขึ้น แต่กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อที่น่าจับตามองคือ กลุ่มลูกค้าเบบี้บูมเมอร์มีกำลังซื้อสูงและเป็น Big Spender ในตลาด ”