เปิดสูตรบริหารสไตล์เล็กพริกขี้หนู!ฉบับ“พงศ์ศักดิ์ สวาทยานนท์”

เปิดสูตรบริหารสไตล์เล็กพริกขี้หนู!ฉบับ“พงศ์ศักดิ์ สวาทยานนท์”

เปิดสูตรบริหาร ฉบับ“พงศ์ศักดิ์ สวาทยานนท์” สไตล์เล็กพริกขี้หนู !ที่พัฒนาธุรกิจอสังหาฯหลากประเภททั้งบ้านเดี่ยว,บ้านแฝด,ทาวน์เฮาส์,อาคารพาณิชย์ อาคารมหาทุนย่านเพลินจิต และอาคารไทยซีซี ทาวเวอร์ ฝ่าวิกฤตหลายระลอก

“สวาทยานนท์” เป็นตระกูลดำเนินธุรกิจสิ่งทอ ที่โดดเข้ามาพัฒนาธุรกิจอสังหาฯประเภทบ้านเดี่ยว,บ้านแฝด,ทาวน์เฮาส์,อาคารพาณิชย์ในเขตกรุงเทพฯ,สมุทรปราการ และพัทยา รวมทั้งอาคารสำนักงานอย่าง อาคารมหาทุนย่านเพลินจิต และอาคารไทยซีซี ทาวเวอร์  ถือเป็นตระกูลที่มีฐานการเงินที่แข็งแกร่งและที่ดินในมือมากโดยเฉพาะย่านพระราม3 

ท่ามการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจอสังหาฯทำให้บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กเสียเปรียบบริษัทใหญ่ที่มี Economy of Scale เพราะต้นทุนต่อหน่วยต่ำ ยิ่งปัจจุบันเผชิญภาวะต้นทุนสูงขึ้น จากดอกเบี้ย ค่าแรง ค่าก่อสร้าง รวมถึงกำลังซื้อลูกค้าลดลง รวมทั้งความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ 
             

ในมุมมองของ “พงศ์ศักดิ์ สวาทยานนท์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด กลับมองว่า ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท  เนื่องจากอยู่ในธุรกิจอสังหาฯมานานกว่า 50 ปี  ในสายตาของคนภายนอกอาจคิดว่า รายเล็กอยู่ยาก เพราะรายใหญ่เข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาด น่ากลัว ช่วงแรกที่เปิดโครงการใหม่คิดแบบนั้น เวลาที่มียักษ์ใหญ่อย่าง พฤกษา เสนาฯ มาเปิดโครงการใกล้กัน   ปรากฏว่า ขายได้ 

 "ตราบใดที่สินค้ามีคุณภาพ ในระดับราคาคุ้มค่า สามารถแข่งขันกับรายใหญ่ได้ โดยไม่ได้ใช้กลยุทธ์ราคา ขายถูกกว่ามาสู้กับรายใหญ่ ตรงกันข้ามขายราคาแพงกว่าด้วยซ้ำ แต่ว่า แบบบ้าน ฟังก์ชั่นการใช้งานต้องตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า หรือการพัฒนาส่วนกลางที่สนองตอบความต้องการของลูกค้า"
         
 

  ยกตัวอย่างโครงการย่านบางแค สามารถปิดโครงการก่อนโกลเด้นแลนด์ ของเฟรเซอร์ส ฯ หรือ ทำเลบางปู ที่เสนาฯ มาเปิดก่อน เราสามารถแข่งขันได้ ส่วนหนึ่ง เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงิน รวมทั้งญาติพี่น้องและเพื่อนๆ เป็นอย่างดี เรียกได้ว่ามีความแข็งแกร่งในเงินทุนและที่ดิน  ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการพัฒนาโครงการ

" เราไม่กลัวคู่แข่งรายใหญ่เพราะทีมงานทำการบ้านหนักก่อนที่พัฒนาโครงการ ในแต่ละทำเล ได้ทีมคนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารจัดการทำให้การทำงานรวดเร็วขึ้น โดยที่ไม่ต้องกังวลในเรื่องของเงินทุนและที่ดินในการพัฒนาโครงการ เพราะเรามีเครดิตที่ดีมาตลอดและโชคดีที่มีพันธมิตรที่ดี"


            5 ปีที่ผ่านจากการดึงคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมพัฒนาแต่ละโครงการภายใต้เมซัน ดีเวลลอปเม้นท์ เป็นบริษัทในเครือ เพื่อรองรับการขยายฐานลูกค้าใหม่ที่เข้ามาเป็นลูกค้าในอนาคต เพราะคนกลุ่มนี้จะมีความรู้ความความเข้าใจถึงความต้องการลูกค้า ขณะเดียวกันต้องค่อยแตะเบรก ให้ชะลอการขยายธุรกิจไม่ให้รีบร้อนจนเกินไป ในปี2567 ถือเป็นการลงทุนพัฒนาโครงการค่อนข้างเยอะสวนกระแสเศรษฐกิจยังคงชะลอตัว 

 "ความจริงมีโครงการที่ออกมากกว่านี้ แต่ชะลอไว้ก่อน รอดูโครงการที่เปิดออกมาก่อนว่า ได้รับผลตอบรับมากน้อยแค่ไหนก่อน ขอดูผลงานก่อน เดินช้าหน่อยไม่เป็นไรแต่อย่าเดินถอยหลัง เพราะที่ผ่านมาผลประกอบการเราดีกว่าบริษัทมหาชนหลายแห่ง บางบริษัทขาดทุน และผลตอบแทนเราดีกว่ากำไร15% ขึ้นไป"

สำหรับโครงการในปี2567 มี 7 โครงการมูลค่า 3,734 ล้านบาท โดยปรับกลยุทธ์มาพัฒนาโครงการบ้านระดับลักชัวรีที่มีระดับราคาตั้งแต่ 7-20 ล้านบาทจำนวน 6 โครงการ เป็นทำเลในกรุงเทพฯ 5 โครงการ และภูเก็ต 1 โครงการ 


 "แนวทางการดำเนินธุรกิจไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัว แค่อย่าอยู่นิ่ง ความที่เป็นบริษัทเล็กเราคงไม่ได้เป็นผู้นำแต่เราเป็นผู้ตามที่รวดเร็วอะไรที่ดีพร้อมที่จะนำมาปรับใช้ สังเกตได้ได้ว่า แบบบ้านของบริษัทจะออกแบบใหม่ไม่มีการรียูสแม้ว่าทำให้ต้นทุนแพงขึ้น ขณะที่ดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่บางราย10ปี แบบยังเหมือนเดิม"
               

สำหรับเป้าหมายในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 1,400-1,500 ล้านบาทและยอดโอน 900 ล้านบาท จาก 3 โครงการเดิมและ 7 โครงการที่จะเปิดตัวใหม่ในปี 2567 นี้จากปีที่ผ่านมารายได้700ล้านบาทกำไร 100 ล้านบาท

“ทิศทางการดำเนินงานของบริษัท5 ปีต่อจากนี้ จะยังคงเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบ ระดับราคาตั้งแต่ 3-20 กว่าล้านบาทขึ้นไปเป็นหลัก ในพื้นที่กรุงเทพฯชั้นใน และต่างจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยว โดยเฉพาะภูเก็ต ซึ่งยังมีที่ดินย่านหาดในทอนประมาณ 10 ไร่ คาดว่า5 ปีข้างหน้าบริษัทมีพอร์ตรวมทั้งสิ้น5,000-6,000 ล้านบาท ”