แบงก์เข้มปล่อยกู้โครงการ-หุ้นกู้ขายยากอสังหาชูโมเดลร่วมทุนกระจายเสี่ยง
ท่ามกลางข้อจำกัดมากมายในภาคอสังหาฯทั้งปัญหาธนาคารคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อโครงการ วิกฤติหุ้นกู้ ทำให้ความเชื่อมั่นลดลง การระดมทุนยากขึ้นส่งผลให้โมเดลการร่วมลงทุน (Joint Venture)ระหว่างดีเวลลอปเปอร์ต่างชาติและไทยเพิ่มขึ้น
เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ช่วงครึ่งหลังปี 2567 ธุรกิจอยู่ในสถานการณ์ต้องเฝ้าระวัง เพราะภาพรวมเศรษฐกิจและปัญหาหุ้นกู้
"ตลาดการเงินอยู่ในภาวะที่เปราะบาง ทุกบริษัทต้องระมัดระวังมากขึ้น การเข้าถึงแหล่งสินเชื่อ เข้าถึงตลาดเงินยากขึ้น ทำให้เกิดข้อจำกัดในการลงทุน อีกทั้งกระแสข่าวหลายเรื่องไม่เอื้อต่อการลงทุน ผลกระทบเริ่มลามจากคนซื้อมายังคนขาย”
สำหรับแนวทางการปรับตัวของเสนาฯ เน้นคุมเข้มการลงทุน ดูแลกระแสเงินสดให้ดี ลงทุนร่วมกับพันธมิตร ไม่ลงทุนคนเดียว ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระลดความเสี่ยงได้ดี ถือเป็นปัจจัยบวก ซึ่งช่วงที่ผ่านมา เสนาฯ ให้ความสำคัญในเรื่องพาร์ตเนอร์ การบริหารการเงิน การบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโออย่างมีประสิทธิภาพ จะเห็นได้ว่า เสนาฯ มีความร่วมมือ กับ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป ร่วมลงทุนในโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง
“กลยุทธ์นี้เป็นการมองในระยะยาว เพื่อกระจายความเสี่ยง และลดการลงทุน ขณะเดียวกันอัตราหนี้สินต่อทุนหรือ Net IBD/E Ratio ต่ำลง สะท้อนถึงการเติบโตของธุรกิจบนพื้นฐานทางการเงินที่ดี”
ทางด้าน นฑา กิตติอักษร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทมีนโยบายลดความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการด้วยการร่วมทุนกับพันธมิตรในทุกโครงการเพื่อสร้างการเติบโต โดยจะพิจารณาว่าแต่ละพันธมิตรเชี่ยวชาญด้านไหนเพื่อลงทุนตามความเชี่ยวชาญนั้นๆ
ซึ่งที่ผ่านมามีการร่วมทุนกับพันธมิตรหลายชาติ อาทิ สิงคโปร์ อิสราเอล เกาหลี ล่าสุด กลุ่มทุน “โมริ ทรัสต์” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น จำนวน 2 โครงการ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท โครงการแรกมอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา 2 มูลค่า 2,100 ล้านบาท คาดเริ่มดำเนินการก่อสร้างไตรมาส 3 ปี 2567 อีกโครงการมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท
“โครงการแรกที่ร่วมกัน ถือเป็นโปรเจกต์แรกของโมริ ทรัสต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยใช้การลงทุนในสัดส่วนเท่ากันในแต่ละโครงการ ซึ่งโมเดลร่วมลงทุนดังกล่าวจะช่วยให้การดำเนินธุรกิจลดความเสี่ยง และเสียอัตราดอกเบี้ยน้อยลง จากการมีผู้ร่วมทุนมากขึ้น เมื่อเทียบการขอสินเชื่อโครงการจากสถาบันการเงิน”
นอกจากนี้ บริษัทยังมีกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์จากญี่ปุ่นอีก 2 ราย ที่อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญาร่วมทุน เป็นกลุ่มที่เคยร่วมทุนกับดีเวลลอปเปอร์รายอื่นในประเทศไทยมาแล้ว
บุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้ตกลงทำความร่วมมือขยายธุรกิจเพื่อต่อยอดแผนการลงทุนภายใต้การร่วมทุนกับ บริษัท นิปปอน สตีล โควะ เรียล เอสเตท จำกัด หรือ NSKRE ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากญี่ปุ่น โดยบริษัทถือหุ้น 51% และ นิปปอน สตีล โควะ เรียล เอสเตท ถือหุ้น 49% เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน โครงการแรก คอนโดมิเนียม “ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค เอกมัย-รามอินทรา” จำนวน 413 ยูนิต และอาคารพาณิชย์ 2 ยูนิต มูลค่า 1,014 ล้านบาท
อิตารุ อิชิฮาร่า ผู้อำนวยการสายงานธุรกิจองค์กรและธุรกิจต่างประเทศ บริษัท นิปปอน สตีล โควะ เรียล เอสเตท จำกัด หรือ NSKRE กล่าวว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมีความน่าสนใจ เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังคงได้รับแรงหนุนจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทำให้ความต้องการด้านที่อยู่อาศัยเติบโตต่อเนื่อง
“ที่ผ่านมามีการขยายตัวอย่างรวดเร็วของระบบขนส่งสาธารณะ ทั้งรถไฟฟ้า BTS และ MRT ช่วยส่งเสริมการขยายตัวของเมืองได้อย่างรวดเร็ว กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีโอกาสด้านการพัฒนาของตลาดที่อยู่อาศัยเพื่อต่อยอดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นอกญี่ปุ่น จากที่บริษัทได้มีการลงทุนแล้วในสหรัฐก่อนหน้านี้”