ยากัญชาเข้าบัญชียาหลักฯแล้ว 8 รายการ ปริมาณใช้ยาสมุนไพรไทยเพิ่มปีละ 5 %
ยาสมุนไพรเข้าบัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว 94 รายการ ตำรับจากกัญชา 8 รายการ ปริมาณการใช้ในรพ.รัฐเพิ่ม 5 %ทุกปี เดินหน้าเพิ่มการใช้มากขึ้น สร้างการพึ่งตนเอง เชื่อพิสูจน์สรรพคุณชัด โอกาสส่งยาไทยไปนอกได้
เมื่อวันที่ 12 พ.ค.2565 ที่กระทรวงสาธารณสุข ในการแถลงข่าว “เปิดงาน "บัญขียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร" ภายใต้แนวคิด "เข้าถึงถ้วนหน้า ต่อยอดภูมิปัญญา พีงพาตนเอง" นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.) กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)มุ่งเน้นให้คนไทยเข้าถึงยาจำเป็นด้านสาธารณสุข ไม่เพียงแต่ยาแผนปัจจุบันเท่านั้น ยังผลักดันให้มีการใช้ยาสมุนไพรตามภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยในระบบบริการสาธารณสุข เพื่อความมั่นคงทางยาและสนับสนุนการพึ่งพาตนเอง
โดยกำหนดให้มีรายการยาในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพรครอบคลุมยาจำเป็นที่ต้องใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพของประชาชน ซึ่งปัจจุบันมีรายการยาจากสมุนไพรอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ จำนวน 94 รายการ รวมไปถึงยาจากกัญชา 8 รายการ ประกอบด้วย ตำรับยาแผนไทย 3 รายการ คือ ยาแก้ลม แก้เส้น ยาศุขไสยาศน์ และยาทำลายพระสุเมรุ และ ยาน้ำมันกัญชา 5 รายการ เช่น ยาน้ำมันกัญชาที่มีCBD : THC (1:1) ในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่มีอาการนอนไม่หลับ เบื่ออาหาร หรือมีอาการปวด และยาน้ำมันกัญชา ที่มี CBD : THC (20:1) ในผู้ป่วยลมชักรักษายาก เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยที่เข้าถึงยาได้
นอกจากนั้น ยังมียาฟ้าทะลายโจร สำหรับผู้ป่วยในช่วงสถานการณ์โควิด ส่งผลให้ประชาชนที่มีสิทธิ์ตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สามารถเข้าถึงยาที่มีคุณภาพได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายทั้งนี้ การขับเคลื่อนให้ระบบบริการสุขภาพหันมาใช้ประโยชน์จากยาสมุนไพรนั้น นอกจากช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงยาทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉินแล้ว ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ป่วย ประชาชนและชุมชน ในการใช้ยาจากสมุนไพรดูแลสุขภาพ :นเป็นการพี่งตนเองตามหลักปรัชญาวิถีชีวิตพอเพียงโดยใช้ภูมิปัญญาไทย และเป็นการสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกสมุนไพร ตั้งแต่การพัฒนาสายพันธุ์ การเพาะปลูก และเกี่ยวพืชสมุนไพรของชุมชน เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตยาจากสมุนไพรไทย สร้างการเศรษฐกิจภายในประเทศอีกด้วย
“ในปี 2565 นี้ คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพรจะเร่งดำเนินการพิจารณาคัดเลือกยาจากสมุนไพรที่มีสรรพคุณหรือข้อบ่งใช้ที่ชัดเจน มีส่วนประกอบเป็นสมุนไพรที่สามารถผลิตหรือปลูกได้ในประเทศเป็นหลัก และมีหลักประกันคุณภาพมาตรฐาน เพื่อให้สามารถเข้าถึงยาจากสมุนไพรได้เพิ่มมากขึ้น และเพื่อชับเคลื่อนให้เกิดการใช้ยาจากสมุนไพรในระบบบริการสาธารณสุขอย่างสืบเนื่องต่อไป”นายอนุทินกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงปริมาณการใช้ยาสมุนไพรในรพ.รัฐ นายอนุทิน กล่าวว่า มีปริมาณการสั่งใช้เพิ่มขึ้น 5 %ทุกปี และตั้งแต่ตนเองมารับตำแหน่งรมว.สาธารณสุข 3 ปีมีการสร้างระบบสาธารณสุขรองรับ อย่างกรณีโรคโควิด19 มีการผลักดันให้คนไทยที่ติดเชื้อไม่มีอาการใช้ยาฟ้าทะลายโจรในการดูแลรักษาตนเอง ซึ่งกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกได้มีการสั่งซื้อและกระจายไปยังรพ.ทั่วประเทศ ส่วนการเตรียมการเข้าสู่ระยะโรคประจำถิ่น(Endemic) หากรพ.มีการสั่งซื้อยาที่มีความจำเป็นที่ผลิตจากสมุนไพรไทยเองก็จะเป็นการเพิ่มปริมาณการใช้ ทำให้มีการเติบโตมากขึ้น
“3 ปีที่มารับตำแหน่งเห็นชัดว่าความต้องการใช้ยาสมุนไพรไทยมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ในรพ.รัฐมีคลินิกแพทย์แผนไทย มีแพทย์แผนไทยให้การดูแลรักษา ไม่เพียงยาสมุนไพรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภูมิปัญญาไทยอื่นๆด้วย”นายอนุทินกล่าว
ถามต่อว่ามองโอกาสยาสมุนไพรจะส่งออกเหมือนกับแพทย์แผนจีนหรืออินเดียอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า ถ้าหากทำได้ดี มีการวิชาการ มีการพิสูจน์สรรพคุณได้ชัดเจน ถ้าทำได้ดีเป็นโอกาสของการเติบโตแน่นอน เพราะขณะที่ธุรกิจอื่นๆอาจจะโดนดDisruption แต่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับอาหารและยายังมีโอกาส เพราะคนจะต้องทานอาหารและคนยังป่วย