สหภาพองค์การค้าฯผ่าปมหนี้ 5.7พันล้าน-บริหารไม่มีประสิทธิภาพ
หลังจากลูกจ้างคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.)มีคำสั่งเลิกจ้างพนักงานองค์การค้าฯ จำนวน 961 ราย จากทั้งหมด 1,035 ราย มีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม เป็นต้นไป
ส่งผลให้เหลือพนักงาน 74 คน และจะมีผู้เกษียณอายุในปีนี้กว่า 50 คน ทำให้เกิดคำถามว่าหากมีคณะกรรมการ ลูกจ้างที่องค์การค้าฯเพียง10 กว่าคนองค์การค้าจะขับเคลื่อนงานอย่างไร?
ล่าสุด วานนี้(2 ก.ค.) กลุ่มสหภาพแรงงานองค์การค้าของคุรุสภา นำโดย “นิวัติชัย แจ้งไพร”ประธานสหภาพแรงงานองค์การค้า คุรุสภาและ“อารีย์ สืบวงศ์”ที่ปรึกษาสหภาพแรงงานฯได้จัดประชุมใหญ่วิสามัญเรื่องการไม่จ่ายเงินเดือนให้กับพนักงาน และชี้แจงเกี่ยวกับปมทุจริต การบริหารและวางแผนงานที่ผิดพลาดกลุ่มผู้บริหารนับตั้งแต่ปี 2558 เพื่อรวบรวมความคิดเห็นเพื่อนำเสนอต่อผู้บริหาร
สกสค.รวมถึงการฟ้องร้องแรงงานและศาลปกครอง เพื่อขอให้ระงับคำสั่งเลิกจ้างพนักงานลูกจ้าง จำนวน 961 คน โดยมีพนักงาน เจ้าหน้าที่ขององค์การค้าฯ ของสกสค.เข้าร่วมกว่า 300 คน
"นิวัติชัย"กล่าวว่า การประกาศเลิกจ้างพนักงานเจ้าหน้าที่องค์การค้าของ สกสค.ทั้ง 961 คนด้วยเหตุผลที่ไม่ชอบธรรม เนื่องจากการที่องค์การค้าฯของสกสค.เป็นหนี้สะสม ไม่ใช่เพราะพนักงานสร้างหนี้ และที่ผ่านมามีเพียงแจ้งปรับโครงสร้างองค์กรเท่านั้น และไม่มีการประกาศล่วงหน้าใดๆทั้งสิ้น ทุกคนรู้จากทางสื่อหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ซึ่งสร้างความทุกข์ใจให้แก่ลูกจ้างอย่างมาก เพราะทุกคนตั้งใจทำงานแต่อยู่ดีๆ ก็ถูกเลิกจ้าง ตอนนี้ทุกคนตกงานโดยที่ไม่ได้รับการเยียวยา ไม่มีการบอกหรือชี้แจงอะไรทั้งสิ้น
“หนี้ดังกล่าวเกิดขึ้นไม่ได้จากการดำเนินธุรกิจ แต่เป็นเพราะผู้บริหารไม่มีความถนัดงานด้านโรงพิมพ์ จนขาดสภาพคล่องทางการเงินซึ่งเป็นอย่างนี้เกือบทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนผู้บริหาร ทำให้กลายเป็นหนี้สะสม แต่หนี้จำนวนดังกล่าวก็ไม่ถึงกับต้องเลิกจ้างพนักงานหากมีผู้บริหารที่ดีและมีเงินทุนเชื่อว่าองค์การค้าฯยังสามารถฟื้นฟูตัวเองได้ เพราะองค์กรยังมีธุรกิจและทรัพย์สินในมือมูลค้าหลายพันล้านบาท”นิวัติชัย กล่าว
กลุ่มสหภาพแรงงานองค์การค้าครุสภาจะเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้แก่ลูกจ้างทุกคน เพราะต่อให้บอกว่าจะจ่ายเงินเยียวยา แต่ที่ผ่านมาแม้เงินเดือนพนักงานยังจ่ายไม่ตรง จากเดิมจ่ายค่าจ้างในวันที่ 30 ของทุกเดือน แต่เดือนมิถุนายนยังไม่มีการโอนเงินจ่ายค่าจ้าง
โดยก่อนหน้านี้พนักงานลูกจ้างองค์การค้าฯได้ยื่นคำร้องที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ 4 ตามมาตรา 75 ของ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ปี 2541 เพื่อคุ้มครองสิทธิตามคำสั่ง สกสค.ที่ 75/2563 เรื่องขยายเวลาหยุดงาน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 โดยไม่ถือเป็นวันลา จนถึงวันที่ 30 มิ.ย. โดยได้รับค่าจ้างร้อยละ 75 ของเงินเดือน
ส่วนเดือนกรกฎาคมองค์การค้าฯ มีคำสั่งให้พนักงานรับเงินทดแทนจากประกันสังคม ร้อยละ 62 ของเงินเดือน ทำให้พนักงานกังวลว่าการสั่งให้พนักงานหยุดงานในช่วงที่สถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลายเป็นปกติแล้วจะเข้าหลักเกณฑ์ที่สำนักงานประกันสังคมจะจ่ายเงินทดแทนหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังไม่มีใครมาให้คำตอบ
“อารีย์ สืบวงศ์” ที่ปรึกษาสหภาพแรงงานฯ กล่าวว่าตั้งแต่ปี 2539-2540 องค์การค้าฯมีกำไรสูงสุดกว่า 1,500 ล้านบาทส่งผลให้เจ้าหน้าที่และพนักงานได้รับโบนัสมากถึง 2 เท่า แต่หลังจากที่องค์การค้าฯ สกสค.เปิดให้บริษัทเอกชนเข้ามาร่วมจัดพิมพ์ ส่งผลให้ไม่มีกำไรสะสมจนต้องเริ่มโครงการกู้เงินจากสถาบันการเงินต่างๆ รวมถึงนำทรัพย์สินที่มีไปจำนองไว้ แต่การกู้เงินไม่ได้นำมาช่วยองค์กรแต่นำเงินจากการกู้ไปจ้างบริษัทเอกชนภายนอกพิมพ์หนังสือเรียน และมีผู้ร้องเรียนความไม่ชอบมาพากลเรื่องนี้มาตลอดแต่ก็ไม่เคยมีผลสรุปชี้ชัดเจนว่าเส้นทางการทุจริตมาจากไหนจนถึงปัจจุบัน
“ผู้บริหารศธ.อย่ามาอ้างพนักงานและเจ้าหน้าที่ว่าเป็นต้นทุนที่มากเกินไปจนทำให้พนักงานและเจ้าหน้าที่จำนวน 961 คนต้องมารับผิดชอบกับปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะคนเหล่านี้เป็นพวกคนทำงาน รับทำตามคำสั่งหน้าที่ ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจในการบริหารงาน ที่สำคัญสาเหตุที่แท้จริงแล้วคือการบริหารที่ไม่มีประสิทธิภาพ อย่ามาบอกว่าทำเพื่อรักษาองค์กร เรื่องนี้สหพันธ์แรงงานองค์การค้าฯจะดำเนินการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด”อารีย์กล่าว
อย่างไรก็ตาม กลุ่มสหพันธ์แรงงานองค์การค้าฯ จะมีการสรุปแนวทางอีกครั้ง ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะมีการยื่นคำสั่งดังกล่าวให้แก่นักกฎหมายพิจารณาว่าเป็นธรรมหรือไม่ หากไม่ก็จะมีการฟ้องร้องไปยังศาลต่างๆ ส่วนการชดเชยเงินให้กับผู้ที่ถูกเลิกจ้างองค์การค้าฯนั้น จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของสกสค.วาระพิเศษ ในวันที่ 3 ก.ค. 2563 เพื่อขออนุมัติงบประมาณสำรองจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้ที่ถูกเลิกจ้างก่อน 1-2 แสนบาทต่อราย ทั้งนี้ ผู้ถูกเลิกจ้างจะได้เงินครบถ้วนทั้งหมดในวันที่ 1 ส.ค. 2563 ซึ่งถือว่าเป็นวันสิ้นสุดสัญญาจ้าง