'วิกฤติน้ำ' ปี 64 แล้งหนัก-น้ำเค็มรุก
ขณะนี้ประเทศไทยเผชิญ "วิกฤติน้ำ" แล้ว โดยเฉพาะความเค็มรุกตัวเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยาสูงมากขึ้น และในปี 2564 ประเทศไทยจะเผชิญวิกฤติภัยแล้งหนัก เนื่องจากปริมาณฝนสะสมปี 2563 น้อยกว่าปกติ ทำให้ฤดูแล้งนี้จะมีน้ำไม่เพียงพอ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตร
ประเทศไทยเผชิญกับ “วิกฤติน้ำ” ทั้งสถานการณ์ภัยแล้ง น้ำท่วม รวมถึงปัญหาแหล่งน้ำเสื่อมโทรม ในขณะที่ปัจจุบันมีความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากยังมีการใช้น้ำที่ฟุ่มเฟือยและขาดการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ประเทศไทยจะต้องประสบกับภาวะขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับหลายประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งการดำรงชีวิต สุขอนามัย และเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ
ปี 2564 ประเทศไทยจะเผชิญวิกฤติภัยแล้งหนัก เนื่องจากปริมาณฝนสะสมประเทศไทยในปี 2563 มีค่าน้อยกว่าค่าปกติประมาณร้อยละ 4 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ฝนน้อยกว่าปกติ 2 ปีติดต่อกัน (2562-2563) ทำให้ฤดูแล้งนี้จะมีน้ำไม่เพียงพอ ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตร
ขณะนี้พื้นที่ในกรุงเทพฯ เริ่มได้รับผลกระทบจากภัยแล้งแล้ว โดยความเค็มรุกตัวเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยาสูงมากขึ้น แต่ระบบชลประทานไม่มีน้ำปริมาณมากเพียงพอในการผลักดันน้ำเค็มได้เต็มประสิทธิภาพ จึงทำให้สัมผัสได้ถึงความเค็มที่สูงกว่าปกติของน้ำประปา จนต้องมีการเตือนถึงผู้ป่วยโรคไต โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง ที่ต้องระวังการนำน้ำประปาไปใช้ในการอุปโภค-บริโภค
นอกจากนี้ พื้นที่ผลผลิตทางการเกษตรก็ยังได้รับผลกระทบไปด้วย โดยเฉพาะสวนทุเรียน จ.นนทบุรี กรุงเทพมหานครฝั่งตะวันตก และสมุทรปราการ ทำให้ต้นไม้และพืชผลทางการเกษตรเริ่มได้รับความเสียหายจำนวนมาก
ขณะนี้เกิดวิกฤติน้ำแล้ว สะท้อนจากน้ำเค็มรุกที่คุ้งบางกระเจ้า ค่าความเค็มสูงถึง 7-20 กรัมเกลือต่อลิตร ใกล้จุดอันตราย หากพืชสวนตายลงการปลูกใหม่ต้องใช้เวลา 5 ปี ต่างจากการทำนาข้าวที่หยุดการปลูกไว้ก่อนได้ เพื่อรอฝนในเดือน พ.ค. ที่สำคัญรายได้ภาคกลางอิงกับสวนไม่ใช่อิงกับนา
ทั้งยังพบว่าสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไทยสามารถส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์เกษตรสูงขึ้นจากเดิม 30% เป็นโอกาสในการสร้างรายได้ให้ประเทศช่วงวิกฤติ แต่โอกาสจะหายไปหากเราบริหารจัดการน้ำไม่สำเร็จ ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์น้ำเปลี่ยนไป เป็นผลจากการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ ผลจากการที่เราไปมองเรื่องกำไรสูงสุด ต้นทุนต่ำสุด แทนที่จะมองเรื่องบริหารความเสี่ยง จึงทำให้ความมั่นคงหายไป
ปัญหาการบริหารน้ำของประเทศไทยคือ มุ่งที่โครงสร้างขนาดใหญ่ไม่ให้ความสำคัญกับองค์ประกอบ นั่นคือป่าต้นน้ำและโครงสร้างขนาดเล็กที่กระจายเชื่อมต่อกันเพื่อระบายน้ำ เมื่อฝนตกหนักจึงทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วม ทั้งที่ไทยมีข้อมูลมากที่สุดประเทศหนึ่ง แต่ไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ และไทยมีการใช้น้ำต่อหัวสูงเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยส่วนใหญ่มาจากกว่าภาคเกษตร ทั้งโดยตรงและตลอดห่วงโซ่การผลิตสินค้าเกษตร
สำหรับคนในเมืองใช้น้ำ 200 ลิตรต่อคนต่อวัน และคนชนบทใช้น้ำ 80 ลิตรต่อคนต่อวัน ทั้งยังไม่มีการวางแผนเตรียมรองรับกับการท่องเที่ยว ที่มีการใช้น้ำสูงถึง 1,000 ลิตรต่อคนต่อวัน และหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมักจะใช้น้ำสูงกว่าแผน ซึ่งอีก 20 ปีข้างหน้า คาดว่าความต้องการน้ำทั้งประเทศจะเพิ่มขึ้น 25% ดังนั้น จึงเป็นความท้าทายของภาครัฐและประชาชนในการบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอ
สถานการณ์ฝนในปี 2564 จะคล้ายคลึงกับปี 2539 ที่มีพายุเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยจำนวน 4 ลูก พัดผ่านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 ลูก และภาคใต้อีก 2 ลูก แต่ไม่ได้หนักเหมือนมหาอุทกภัยปี 2554 ซึ่งปีนี้ปริมาณฝนของไทยแนวโน้มมีมากขึ้น แต่มีความแปรปรวนสูงขึ้น การเปลี่ยนจากฝนมากเป็นน้อยใช้เวลาสั้นลง รูปแบบเปลี่ยนไปจะตกหนักในช่วงสั้นๆ แล้วหายไปนานจึงกลับมาตกหนักอีก ทั้งยังเปลี่ยนพื้นที่ไปตกท้ายเขื่อนแทนเหนือเขื่อน
การบริหารน้ำระบบเดิมเรามองแค่น้ำต้นทุน ไม่ได้มองความต้องการใช้น้ำ เพิ่งทำข้อมูลใช้น้ำในปี 2558 ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สวนทางกับปริมาณน้ำในเขื่อน รวมทั้งความแปรปรวนของฝนที่สูงขึ้น ทำให้ยากต่อการบริหารไม่ให้เกิดน้ำท่วมและน้ำแล้ง