"วิตามินดี" สำคัญต่อร่างกาย และ "ระบบภูมิคุ้มกัน" อย่างไร

"วิตามินดี" สำคัญต่อร่างกาย และ "ระบบภูมิคุ้มกัน" อย่างไร

ร่างกายของเรา ต้องการสารอาหารหลายชนิดที่เสริมสร้างความแข็งแรง “วิตามินดี” ถือเป็นอีกหนึ่ง "วิตามิน" ที่มีความจำเป็น ซึ่งพบในอาหารจำพวกปลา เนื้อสัตว์ นม เป็นต้น ซึ่งมีผลต่อ "ระบบภูมิคุ้มกัน" ในร่างกาย

สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้ว่า วิตามินดี มีหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโต การแบ่งตัว และการตายของเซลล์ ที่มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย วิตามินดี จึงมีความจำเป็นสำหรับการทำงาน ของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นอันดับแรกในการป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อโรค และอาหารเสริมวิตามินดี ยังสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้

 

ขณะที่ปัจจุบันคนส่วนใหญ่มักหลีกเลี่ยงแสงแดด เช่น การทาครีมกันแดด การทำงานในที่ร่ม และเมื่อคนเรามีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ร่างกายจะมีประสิทธิภาพในการสังเคราะห์วิตามินดีจากแสงแดดลดลง และจะลดลงไปเรื่อยๆ ตามอายุที่เพิ่มขึ้น (J. Clin. Invest. 0021 Volume 76, October 1985, 1536-1538) และปัจจัยอื่นๆ เช่น ช่วงเวลาของวัน มลภาวะสิ่งแวดล้อม อาทิ เมฆ หมอกควัน ฝุ่นละออง อาจทำให้ได้รับแสงแดดได้ไม่เต็มที่ 

 

นอกจากนี้คนไทยมักไม่ได้รับวิตามิน ดีจากอาหารอย่างเพียงพอ เนื่องจากอาหารที่มีวิตามินดีสูง ได้แก่ น้ำมันตับปลา ปลาเทราท์ ปลาแซลมอน ซึ่งไม่ใช่อาหารที่คนส่วนใหญ่รับประทานเป็นประจำ

 

 "พญ.อภิชนา มหัทธนะพฤทธิ์ "อายุรศาสตร์ ต่อมไร้ท่อ และเมตาบอลิสม  โรงพยาบาลปิยะเวท เปิดเผยว่า มาตรฐานของสมาคมต่อมไร้ท่อประเทศสหรัฐอเมริกา แนะนำว่า ระดับวิตามิน D ในเลือดน้อยกว่า 20 ng/ml (50 nmol/L) ถือว่าอยู่ในภาวะขาดวิตามิน D ระดับวิตามิน D ในเลือดมากกว่า 30 ng/ml (75 nmol/L) ถึงจะเพียงพอ จากบทความวิจัยรายงานว่า ประชากรโลกมีปัญหาภาวะขาดวิตามินดี (J Steroid Biochem Mol Biol. 2014 October ; 144PA: 138–145.)

และจากการศึกษาระดับวิตามิน D ในเลือดของประชากรไทย ปี ใน 2551 พบว่า คนไทย 45% มีระดับวิตามิน D ไม่เพียงพอ คือน้อยกว่า 30 ng/ml (BMC Public Health 2011;11:853–9.) และ ผลการศึกษานี้ สอดคล้องกันกับผลการเก็บข้อมูลของผู้ที่มาตรวจระดับวิตามิน D ในเลือด ของ โรงพยาบาลปิยะเวท ตลอดปี 2563 (จำนวน 685 คน) พบว่า มีระดับวิตามิน D ในเลือดเฉลี่ย 27.87 ng/ml พบผู้ที่มีภาวะพร่องวิตามิน D 26% (183 คน) พบผู้ที่มีระดับวิตามิน D ไม่เพียงพอ 63% (433 คน)

 

  • ร่างกายรับวิตามินดีจาก 2 ทาง

 

วิตามินดี เป็น วิตามิน ที่ละลายในไขมัน ร่างกายสามารถได้รับวิตามินดีจาก 2 ทางคือจากการรับประทานอาหารและจากการสังเคราะห์ที่ผิวหนังเมื่อได้รับการกระตุ้นจากรังสี ultraviolet B (UVB) วิตามินดีเป็นคำรวมที่ใช้เรียก Vitamin D2 (ergocalciferol) หรือ Vitamin D3 (cholecalciferol) วิตามินดีทั้งสองชนิดแตกต่างกันตรงแหล่งที่มากล่าวคือ vitamin D2 ได้มาจากพืช เช่น เห็ด และ สาหร่ายบางชนิด หรือได้รับมาจากวิตามินเสริม

 

ส่วน Vitamin D3 ได้มาจากการสร้างที่ผิวหนังหรือมาจากอาหารที่มาจากสัตว์ เช่น ปลาที่มีไขมันสูง (ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า ปลาเทราท์) น้ำมันตับปลา เป็นต้น หรือได้รับมาจากวิตามินเสริม Vitamin D2 และ vitamin D3 ซึ่งเป็นรูปแบบที่ไม่ออกฤทธิ์ เมื่อร่างกายได้รับมาแล้วจะผ่านเข้าสู่ตับและไตเพื่อเปลี่ยนเป็น vitamin D active form (รูปแบบออกฤทธิ์) ที่ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้

 

โดยจากงานวิจัยพบว่าการรับประทาน Vitamin D3 สามารถเพิ่มระดับ Vitamin D ในร่างกายได้มากกว่าการรับประทาน Vitamin D2 (ข้อแนะนำเกี่ยวกับวิตามินดีในคนไทยภาวะขาด­ Vitamin D; สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย)

 

\"วิตามินดี\" สำคัญต่อร่างกาย และ \"ระบบภูมิคุ้มกัน\" อย่างไร

  • วิตามิน ดี ลดเสี่ยงติด "COVID-19"

หน้าที่วิตามิน ดี คือช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสเพื่อนำไปใช้ในการสร้างกระดูกและฟัน ช่วยในการทำงานของกล้ามเนื้อให้เป็นปกติ การขาดวิตามินดีมีผลทำให้เกิดโรคกระดูกและฟันได้ ถ้าขาดอย่างรุนแรงในทารกหรือในวัยเด็กจะก่อให้เกิดโรคกระดูกอ่อน (rickets) ส่วนในผู้ใหญ่จะก่อให้เกิดโรคกระดูกแข็งที่อ่อนและโค้งงอได้ (osteomalacia) และอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ในผู้ใหญ่ได้

 

นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่ได้เป็นปกติ โดยจากการศึกษาล่าสุด พบว่าหากร่างกายมีระดับ วิตามิน ดี ในเลือดไม่เพียงพอจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ COVID-19 และผู้ป่วยที่มีระดับวิตามิน ดี ในเลือดต่ำจะพบสารก่อให้เกิดการอักเสบมากกว่าจึงเกิดอาการรุนแรงมากกว่า (Scientific Reports (2020) 10:20191) 

 

รวมถึงอัตราการติดเชื้อและการตายมากกว่า (Aging Clinical and Experimental Research (2020) 32:1195–1198; Nutrients 2020, 12, 1359) จากบทความวิจัยตีพิมพ์ในระดับนานาชาติที่เก็บข้อมูลในผู้ป่วย COVID-19 ในโรงพยาบาลพบว่า 80% เป็นผู้มีภาวะขาดวิตามิน ดี (The Journal of Clinical Endocrinology & Metabolism, 2021, Vol. 106, No. 3, e1343–e1353)

 

นอกจากนั้นยังมีงานวิจัยทางคลินิกยืนยันโดยการรับประทานวิตามิน D ในขนาดสูง 5000-10000 IU ติดต่อกันจนสามารถทำให้ระดับวิตามินในเลือดสูง 40-60 ng/ml สามารถช่วยป้องกันความเสี่ยงในการติดเชื้อ COVID-19 ได้ (Nutrients 2020, 12, 988) และการให้ผู้ป่วย COVID-19 รับประทานวิตามิน ดี ในขนาด 60000 IU เป็นเวลา 7 วัน พบว่าการติดเชื้อไวรัส COVID-19 หายไป 62.5% ภายใน 21 วัน ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้รับประทานวิตามิน D พบว่าการติดเชื้อหายไปเพียง 20.8 % (Postgrad Med J 2020;0:1–4.)

 

  • วิตามิน ดี กับระบบภูมิคุ้มกัน

 

วิตามิน ดี มีกลไกที่ซับซ้อนในการควบคุมระบบภูมิคุ้มกันให้ทำหน้าที่ได้อย่างเป็นปกติ ในระบบภูมิคุ้มกันด่านแรก Innate Immune system วิตามิน ดี จะช่วยทำให้เม็ดเลือดขาวในระบบภูมิคุ้มกัน เช่น Neutrophil, Monocyte, Lymphocyte สร้างโปรตีนฆ่าเชื้อ (Antimicrobial protein) ในการต่อต้านเชื้อโรคต่างๆ ส่วนในระบบภูมิคุ้มกันด่านที่สอง Adaptive immune system วิตามิน ดี จะช่วยยับยั้งสารอักเสบ เช่น IL-2 (Interleukin 2) IFNƴ (Interferon gamma) IL-17 (Interleukin 17) IL-12 (Interleukin 12) ที่สร้างจากเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน T cell ให้น้อยลง ทำให้การอักเสบรุนแรงของโรคน้อยลง (Nutrients 2015, 7, 8251–8260)

 

การ เสริมวิตามินดี ให้เพียงพอน่าจะมีประโยชน์ในการป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจ และCOVID-19

 

ปัจจุบันแพทย์ในโรงพยาบาลต่างๆมีแนวทางในการดูแลคนไข้ ด้วยการตรวจวิตามิน ดี ในเลือดก่อนและแพทย์จะสั่ง วิตามิน ดี ในขนาดสูงเช่น 2000 IU 5000 IU หรือ 10000 IU เพื่อเสริมการรักษาในด้านต่างๆ เช่นการเสริมการรักษาในผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ในด้านการป้องกันการติดเชื้อและลดความรุนแรงของอาการของโรค

 

อ้างอิง : National Institutes of Health