เปิดตัวเลขคนไทย"ติดโควิด-19ไม่รู้ตัว" แยกรายพื้นที่
สธ.เผยผลตรวจภูมิคุ้มกันคตไทยไม่เคยรับวัคซีน-ไม่เคยถูกวินิจฉัยติดโควิด-19 พบภาพรวมประเทศอยู่ที่ 1.4% เท่ากับติดเชื้อไม่รู้ตัว สะท้อนคนหลุดระบบตรวจไม่มาก
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ที่ กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พร้อมด้วย แถลงข่าวผลการสำรวจแอนติบอดี้ต่อโควิด-19 ในกลุ่มประชากรที่ยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ว่า เคยมีคำถามในสมัยที่โควิด-19 เกิดขึ้นใหม่ ว่าไทยตรวจหาเชื้อน้อยเกินไปหรือไม่ อาจตรวจเพียงภูเขาน้ำแข็ง แต่จริง ๆ มีคนติดเชื้อจำนวนมากที่หลุดจากระบบไป เช่น กรุงเพทฯ อาจติดเชื้อเป็นแสนคน แต่มีตัวเลขไม่กี่พันรายในขณะนั้น ดังนั้น การตรวจหาภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี้ สามารถใช้ดูความชุกของการติดเชื้อในประเทศ บางประเทศอาจเป็นเช่นนั้นจริง คือ มีการระบาดมาก แต่ตัวเลขติดเชื้อรายงานอาจไม่มาก แต่จำนวนเสียชีวิตมาก เมื่อสำรวจหาภูมิคุ้มกัน แล้วจึงพบว่ามีการติดเชื้อในเปอร์เซ็นต์ที่ค่อนข้างสูง ทั้งนี้ การเกิดภูมิคุ้มกัน จะเกิดขึ้นจาก 2 กรณี คือ 1.ฉีดวัคซีน 2.การติดเชื้อแล้วหาย
โครงการสำรวจหาภูมิคุ้มกันในคนไทย กรมวิทย์ ตั้งโจทย์ในช่วงเดือน พ.ย.2564 ที่มีการฉีดวัคซีนและติดเชื้อจำนวนหนึ่ง เพื่อหาคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีนและไม่มีประวัติตรวจพบเชื้อ แต่มีภูมิคุ้มกันขึ้น ซึ่งจะแปลว่าติดเชื้อไม่รู้ตัว และไม่ได้รับการวินิจฉัย เพื่อมาดูว่าตรวจน้อยเกินไปหรือไม่ และให้รู้ว่าคนเหล่านี้หากไม่มีภูมิคุ้มขึ้นเลย ก็มีโอกาสติดเชื้อไปจนถึงเสียชีวิตได้
การศึกษาครั้งนี้ผ่านคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยแล้ว หากจะเอาเพียงภาพรวมประเทศก็ไม่ต้องสุ่มตัวอย่างมาก แต่เก็บข้อมูลจากทั่วประเทศถึง 26,717 ตัวอย่าง เพราะอยากได้ตัวอย่างที่สะท้อนแต่ละพื้นที่ แต่ละเขตสุขภาพทั้ง 12 เขต รวม 30 จังหวัด ยกเว้นเขต 13 คือกรุงเทพมหานคร เนื่องจากการฉีดวัคซีนเกิน 100% ขึ้นไปแล้ว ทำให้หาคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนและไม่เคยติดเชื้อได้ยาก การสุ่มตรวจหาแอนติบอดี้จะใช้วิธีเจาะเลือด ตรวจด้วยเครื่องเพื่อความแม่นยำ โดยจำนวนนี้เป็นชาย 48% หญิง 52% ผู้ถูกเจาะเลือดจะถูกถาม 2 คำถาม คือ 1.คุณยังไม่เคยฉีดวัคซีนใดเลย และ 2.คุณไม่เคยถูกวินิจฉัยว่าเป็นโควิด-19 หมายถึงคุณยังเวอร์จิ้นอยู่ หลังจากได้รับความยินยอมก็จะเจาะเลือดตรวจหาแอนติบอดี้ต่อโควิด
ผลการตรวจภาครวมประเทศตรวจ 26,717 ตัวอย่าง พบ 371 รายคิดเป็น 1.4% แบ่งเป็น
เขตสุขภาพที่ 1 จำนวน 1,416 ตัวอย่าง พบ 6 ราย คิดเป็น 0.4%
เขต 2 จำนวน 1,431 ตัวอย่าง พบ 25 รายคิดเป็น 1.7%
เขต 3 จำนวน 1,366 ตัวอย่าง พบ 6 รายคิดเป็น 0.4%
เขต 4 จำนวน 1,382 ตัวอย่าง พบ 34 รายคิดเป็น 2.5%
เขต 5 จำนวน 1,084 ตัวอย่าง พบ 29 รายคิดเป็น 2.7%
เขต 6 จำนวน 2,517 ตัวอย่าง พบ 70 รายคิดเป็น 2.8%
เขต 7 จำนวน 3,726 ตัวอย่าง พบ 43 รายคิดเป็น 1.2%
เขต 8 จำนวน 3,137 ตัวอย่าง พบ 27 รายคิดเป็น 0.9%
เขต 9 จำนวน 4,084 ตัวอย่าง พบ 35 รายคิดเป็น 1.0%
เขต 10 จำนวน 3,702 ตัวอย่าง พบ 17 รายคิดเป็น 0.5%
เขต 11 จำนวน 1,744 ตัวอย่าง พบ 14 ตัวอย่างคิดเป็น 1.1%
และเขต 12 จำนวน 1,128 ตัวอย่าง พบ 65 รายคิดเป็น 6.2% ทั้งนี้ สังเกตว่าภาคอีสานจะค่อนข้างต่ำ ส่วนภาคใต้ในเขต 12 จะมีจำนวนมาก
นพ.ศุภกิจ กล่าวต่อว่า ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค พบว่าระหว่าง 2-3 เดือนที่เก็บตัวอย่าง มีการติดเชื้อสะสม 1.8 ล้านราย จากฐานประชากร 72 ล้านคน อัตราความชุกของการติดเชื้อ 2.6% ดังนั้น หากเอาเปอร์เซ็นต์ติดเชื้อโดยธรรมชาติ การฉีดวัคซีน มารวมกับข้อมูลที่ไปหามาได้นี้ ก็จะพบสัดส่วนของภูมิคุ้มกันประชากร เมื่อนำมาเทียบกันก็จะพบคนที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันอะไรเลย ถือเป็นเวอร์จิ้น มีโอกาสติดเชื้อ ดังนั้น พื้นที่ใดมีจำนวนกลุ่มดังกล่าวมาก จะต้องเร่งการฉีดวัคซีนให้มากขึ้น
“เมื่อนำข้อมูลการตรวจพบผู้ติดเชื้อภาพรวม 2.6% และผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่ได้เข้าระบบ 1.4% ฉะนั้น ไม่มาก แสดงว่าระบบตรวจไม่ได้หลุดไปมากมาย อย่างที่บอกว่าภูเขาน้ำแข็งที่จริง ๆ มีคนติดเชื้อมากนั้นไม่จริง ดังนั้น สิ่งที่หาไม่เจอมีเพียงครึ่งเดียวของสิ่งที่เจอ” นพ.ศุภกิจ กล่าว
นพ.ศุภกิจ กล่าวอีกว่า ที่น่าสนใจคือเขตสุขภาพที่ 12 ในจังหวัดชายแดนใต้ ที่พบว่าอัตราตรวจพบจริง 3.6% แต่ไปหาแอนติบอดี้ได้ถึง 6.2% เมื่อรวมกันได้ 10% นั่นคือ เดือน พ.ย. ความชุกของการติดเชื้อจริง นั่นเป็นสิ่งที่ได้เราจากการตรวจหาภูมิคุ้มกัน นำไปสู่สรุปว่า คนติดเชื้อที่ไม่รู้ตัว 1.4% ติดเชื้อจากการตรวจ 2.6% เมื่อคำนวณคนไทยประมาณ 70 ล้านคน ก็จะเป็นตัวเลขจริงที่มีการติดเชื้อ ก็จะมากกว่า 2 ล้านคน โดยวัคซีนมีความสำคัญในการปิดช่องว่าง เนื่องจากข้อมูลนี้ทำให้เราเห็นว่าหลายเขตยังมีปัญหาว่า คนไม่มีภูมิคุ้มกันเลย ยังมีมากสูง จึงต้องรีบหาคนไปฉีดวัคซีนให้มากขึ้น
นพ.ศุภกิจ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า จากการสำรวจพบว่า มี 3-4 เขตสุขภาพที่สุ่มตรวจพบคนติดเชื้อไม่รู้ตัว มากกว่าคนติดเชื้อที่อยู่ในระบบ แต่ภาพรวมก็ถือว่าต่ำ ยกตัวอย่าง เขตสุขภาพที่ 10 พบติดเชื้อในระบบ 0.3% แต่เมื่อสุ่มตรวจพบติดเชื้อเพิ่มมาอีก 0.5% ซึ่งรวมแล้ว 0.8% แต่สำหรับเขตสุขภาพที่ 12 ตรวจพบเชื้อในระบบ 3.6% แต่เราตรวจเจออีกประมาณ 5-6% ที่ติดเชื้อไม่รู้ตัว สิ่งเหล่านี้จึงต้องส่งสัญญาณ
“กรณีติดเชื้อไม่รู้ตัว อาจไม่ใช่ไม่รู้ตัวจริงๆ แต่เป็นไปได้ที่มาจากการตรวจชื้อด้วย ATK แล้วผลเป็นบวก และเข้าระบบ Home Isolation ช่วงนั้นไม่มีการรายงาน ขณะที่โดยหลักกรณีคนตรวจ ATK เป็นบวกและเข้าอยู่ในศูนย์กักกันชุมชน หรือ Community Isolation หรือรพ. เมื่อตรวจ ATK แล้วก็จะตรวจ RT-PCR ซ้ำอีกครั้ง ซึ่งตรงนี้จะมีการรายงานเข้ามาในระบบ ดังนั้น กรณีติดเชื้อไม่รู้ตัว ส่วนหนึ่งอาจมาจากตรวจ ATK เป็นบวกแล้วรักษาตัวที่บ้านก็เป็นได้ เพราะไม่ได้ตรวจ RT-PCR ซ้ำ ซึ่งได้รับรายงานจากภาคใต้ว่า ส่วนหนึ่งมาจากจุดนี้ และก็มีส่วนหนึ่งที่ติดเชื้อแล้วไม่ทราบว่าติด” นพ.ศุภกิจ กล่าว
นพ.ศุภกิจ กล่าวอีกว่า หลายประเทศพบติดเชื้อ 10% แต่เมื่อมีการตรวจแอนติบอดีขึ้นเป็น 80% ก็มี ประเทศพวกนี้ข้อสังเกตคือ อัตราป่วยตายจะสูง ส่วนไทยที่คนตั้งข้อสังเกตว่า ป่วยลดเหลือ 4-5 พันจริงหรือไม่ ก็ต้องดูคนเสียชีวิต หากเสียชีวิตเป็น 100 ก็ไม่จริง แต่นี่ลงมาด้วยกัน จึงเชื่อได้ว่า ข้อมูลขณะนี้สถานการณ์ประเทศ หากไม่มีอะไรซ้ำเติมก็ถือว่าค่อนข้างลง
ผู้สื่อข่าวถามว่าข้อมูลเขตสุขภาพที่พบการติดเชื้อไม่รู้ตัว แสดงว่าต้องเร่งฉีดวัคซีนหรือไม่ นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า ใช่ ต้องเร่งฉีดให้ครอบคลุมมากที่สุด
เมื่อถามว่าการประชุมอีโอซีเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ปลัดสธ.กำชับเรื่องอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า ท่านปลัด สธ. อยากให้มีการตรวจในจังหวัดที่มีการฉีดวัคซีนต่ำ ก็ต้องไปพิจารณา รวมทั้งอยากให้มีการตรวจภูมิคุ้มกันข้อมูลประชากรกว้างขึ้นและละเอียด เพื่อแก้ปัญหากรณีข้อมูลการฉีดวัคซีนของแต่ละพื้นที่จริงหรือไม่ อย่างกทม. ฉีดวัคซีนมาก 100 กว่าเปอร์เซ็นต์ แต่จริงๆอาจไม่ใช่ เพราะคนในจังหวัดใกล้เคียงมาฉีดในกทม.ก็มี ตรงนี้แก้ไขได้ด้วยการอาจต้องใช้ข้อมูลจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) เนื่องจากสปสช.มีระบบให้คนย้ายสิทธิเลือกรพ.ได้โดยไม่จำเป็นต้องตามทะเบียนบ้าน แต่ให้สิทธิตามสถานที่อยู่ และอีกทางคือ พื้นที่นั้นๆ มีการสำรวจ โดยอาจอาศัย อสม. ช่วยสำรวจประชากรที่อยู่จริง เป็นต้น เพื่อหาตัวเลขการฉีดวัคซีนจริง
“ท่านปลัดสธ. ได้ฝากว่า เป็นไปได้หรือไม่ในการตรวจแอนติบอดีทุกคน ไม่ต้องถามว่า ใครฉีดวัคซีนหรือไม่ฉีด แต่ตรวจให้หมด ซึ่งตรงนี้ก็ต้องพิจารณา และเตรียมความพร้อม เนื่องจากข้อมูลจะมาก โดยกรมวิทยาศาสตร์ฯจะมีการวางแผนเรื่องนี้อย่างละเอียด เนื่องจากการตรวจภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดีต้องตรวจเลือด ก็ต้องเตรียมพร้อมอย่างครบวงจร ทั้งการลงพื้นที่ไปตรวจ และการบริหารจัดการ” นพ.ศุภกิจ กล่าว