"APEC" สุขภาพวันแรก ชู“Smart Families” รับมือเกิดน้อย กระทบแรงงาน-เศรษฐกิจ
"APEC Health Week" วันแรก หารือเชิงนโยบาย “ครอบครัวคุณภาพ Smart Families” สร้างแนวทางรับมือปัญหาโครงสร้างประชากร เผย 17 เขตเศรษฐกิจมีอัตราเจริญพันธุ์รวมต่ำกว่าอัตราทดแทน หวั่นเกิดน้อยทำวัยแรงงานลดลง กระทบเศรษฐกิจระยะยาว
วันนี้ (22 สิงหาคม 2565) ที่โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน กรุงเทพฯ ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุมข้อหารือเชิงนโยบาย (Policy Dialogue) ประเด็น “ครอบครัวคุณภาพ (Smart Families)” ภายในการประชุม APEC Health Week ซึ่งจัดประชุมวันนี้เป็นวันแรก
- 40 ปีข้างหน้าวัยทำงานลดลง 15 ล้านคน มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น 12 ล้านคน
ดร.สาธิต กล่าวว่า ปัจจุบันสมาชิกเอเปคทั้ง 21 เขตเศรษฐกิจ พบว่า มีถึง 17 เขตเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญกับปัญหาโครงสร้างประชากร คือ มีอัตราการเจริญพันธุ์โดยรวมต่ำกว่าอัตราการทดแทน ทำให้จำนวนประชากรมีแนวโน้มลดลง จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาวได้ ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในเขตเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้เช่นกัน
โดยปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรราว 66 ล้านคน เข้าสู่สังคมสูงอายุ (Aging Society) เรียบร้อยแล้ว และกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) ในไม่ช้า มีอัตราการเจริญพันธุ์รวม (Total Fertility Rate) 1.24 ปี 2563 ซึ่งต่ำกว่าระดับทดแทน ทั้งที่อัตราการเจริญพันธุ์รวมควรอยู่ที่ประมาณ 1.6
“ขณะนี้ประเทศไทยมีเด็กแรกเกิดลดลงทุกปี จากปี 2560 เด็กเกิดประมาณ 7 แสนคน ปัจจุบันในปี 2564 ลดเหลือ 5.4 แสนคน จำนวนการเกิดลดลงเรื่อยๆ จนใกล้เคียงจำนวนการตาย หากไม่ทำอะไรเลยการเกิดจะน้อยกว่าการตาย ประชากรไทยอาจจะลดลงครึ่งหนึ่ง ส่งผลให้ประชากรวัยทำงานที่ต้องอุ้มชูดูแลทั้งสังคม วัยเด็ก และวัยสูงอายุ มีจำนวนลดลงและแบกรับภาระมากขึ้น โดยคาดว่า 40 ปีข้างหน้าวัยทำงานลดลง 15 ล้านคน มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น 12 ล้านคน ทำให้กระทบทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเงินการคลังของประเทศ” ดร.สาธิต กล่าว
- ชูครอบครัวคุณภาพ Smart Families แก้ปัญหาเด็กเกิดน้อย
ดร.สาธิต กล่าวว่า การประชุมในวันนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสให้สมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคได้มาแลกเปลี่ยนสถานการณ์และหารือสร้างฉันทามติเพื่อจัดการแก้ไขปัญหาสถานการณ์นี้
โดยมีเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนครอบครัว ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา องค์กรระหว่างประเทศ และภาคเอกชน ของแต่ละเขตเศรษฐกิจเอเปคเข้าร่วม เช่น แนวทางการวางแผนการเจริญพันธุ์สำหรับบุคคลและครอบครัวที่ต้องการมีบุตรและหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ที่ไม่ได้ตั้งใจ เป็นต้น โดยประเทศไทยมีการนำเสนอเรื่องของโครงการครอบครัวคุณภาพ Smart Families
ทั้งนี้ ปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นจะกระทบต่อโครงสร้างประชากรในอนาคต โดยต้องมาหารือว่าเรื่องนี้จะต้องหาทางออกเพื่อเป็นวาระแห่งชาติหรือไม่ ซึ่งหัวใจสำคัญตอนนี้ เกิดค่านิยมว่า สองคนแต่งงานกันไม่ได้วางแผนจะมีลูก แต่วางแผนจะสร้างรายได้ทั้งสองคน เพื่อที่จะมาเป็นรายได้ของครอบครัว จุดนี้จะเป็นปัญหา ต้องมาหาทางออกร่วมกัน
ดร.สาธิต กล่าวต่อไปว่า นโยบายครอบครัวคุณภาพ Smart Families จะเป็นเรื่องของการวางแผน ซึ่งในที่ประชุมมีแนวคิดอาจสวนทาง แทนที่จะให้ครอบครัวส่งเสริมมีบุตรเท่านั้น แต่ในบางมุม การมีบุตรเป็นสิทธิเสรีว่า ผู้หญิงตัดสินใจจะมีหรือไม่ ซึ่งต้องทำให้ครอบครัวมีคุณภาพ โดยการแชร์กันเลี้ยงลูกร่วมกัน การทำงานร่วมกัน ส่งเสริมให้ผู้หญิงทำงานมากขึ้น หรือส่งเสริมให้ทั้งสองเลือกวิถีตัวเอง พูดง่ายๆ ว่า แทนที่จะส่งเสริมให้มีลูก ก็ต้องให้เขามีแล้วมีคุณภาพด้วย
- ลดการเกิดไม่มีคุณภาพ ขับเคลื่อนสูงวัยทำงาน
อย่างไรก็ตาม หากมองภาพในอนาคตว่า คนทำงานเสียภาษีน้อยลง และรัฐต้องนำเงินไปรองรับผู้สูงอายุนั้น เราอาจต้องมีการขับเคลื่อนให้ผู้สูงอายุที่มีสุขภาพแข็งแรงลุกมาทำงาน โดยนำร่องในพื้นที่ท่องเที่ย
ดร.สาธิต กล่าวอีกว่า คณะกรรมการอนามัยเจริญพันธุ์แห่งชาติ ระบุว่า ครอบครัวหนึ่งต้องมีลูกเพื่อความสมดุลประมาณ 2 คน และต้องทำพร้อมๆกับทำให้การเกิดมาในสภาพที่มีความพร้อม และต้องลดอัตราการเกิดในวัยรุ่นลง ให้เหลือ 1.5 ต่อพันประชากร เป็นการลดการเกิดไม่มีคุณภาพด้วย เรื่องเหล่านี้ต้องทำควบคู่กัน เพราะเป็นเรื่องหลายมิติ
- 3 ช่วง นโยบายด้านประชากรของไทย
ด้าน นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า นโยบายด้านประชากรของไทยแบ่งเป็น 3 ช่วง คือ
ช่วงที่แรก การส่งเสริมให้คนไทยมีลูกมากขึ้น สมัยช่วงรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม ทำให้ประเทศไทยมีประชากรเพิ่มขึ้นจาก 14.5 ล้านคนในปี 2480 เป็น 26.3 ล้านคน ในปี 2503
ช่วงที่สอง การส่งเสริมการวางแผนครอบครัว หลังจากที่ประเทศไทยมีการเกิดมากขึ้น เพื่อลดการเพิ่มของประชากร โดยประกาศนโยบายครั้งแรกเมื่อปี 2513 ซึ่งพัฒนาเป็นโครงการวางแผนครอบครัวแห่งชาติ ที่ประสบความสำเร็จได้รับการยอมรับจากนานาชาติ โดยอัตราคุมกำเนิดเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 14 เป็นร้อยละ 72
ช่วงที่สาม คือปัจจุบันที่จำนวนและโครงสร้างประชากรมีความซับซ้อนกว่าในอดีต ถือเป็นความท้าทายต่อนโยบายประชากรครั้งใหม่ เนื่องจากอัตราการเจริญพันธุ์รวมของไทยลดลงอย่างมาก มีปัญหาเรื่องการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ทั้งการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น การตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจ และการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย
- อัตราเจริญพันธุ์รวมต่ำ หวั่นกระทบแรงงาน เศรษฐกิจ
โดยขณะนี้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราเจริญพันธุ์รวมต่ำที่สุดในโลก จากข้อมูล World Population Prospect 2022 พบว่าในปี 2564 มีเพียง 20 ประเทศเท่านั้นที่มีอัตราเจริญพันธุ์รวมต่ำกว่าประเทศไทย
นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ดังกล่าว โดยจัดทำเรื่องของครอบครัวคุณภาพ Smart Families มีการออกกฎหมายและนโยบายต่างๆ คือ นโยบายและยุทธศาสตร์พัฒนาอนามัยเจริญพันธุ์แห่งชาติ ฉบับที่ 2 เพื่อส่งเสริมการเกิดที่มีความพร้อม มีความตั้งใจ และส่งเสริมการดูแลเลี้ยงดูเด็กที่เกิดมาให้เติบโตได้เต็มศักยภาพ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป
มีการออก พ.ร.บ.ป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น เพื่อบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องผ่านรูปแบบของคณะกรรมการ ทำให้สามารถลดอัตราการคลอด ในวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี ลงได้ครึ่งหนึ่งก่อน 10 ปี และตั้งเป้าหมายจะลดอัตราคลอดในวัยรุ่นภายในปี 2570 ให้เหลือไม่เกิน 1.5 ต่อพันประชากร
นอกจากนี้ ยังช่วยลดปัญหาการหลุดจากระบบการศึกษา มีการจัดสวัสดิการต่างๆ ในการช่วยเหลือแม่วัยรุ่นด้วย