Made in USA มาแน่! ทรัมป์ชนะ บีบวงการ ‘เทคเอเชีย’ ลงทุนในสหรัฐ
บริษัทเทคโนโลยีทั่วเอเชียเตรียมรับมือการกลับมาของทรัมป์ ท่ามกลางความกังวลเรื่องมาตรการกีดกันทางการค้าที่อาจรุนแรงขึ้น และแรงกดดันให้ย้ายฐานการผลิตเข้าสู่สหรัฐ โดยยักษ์ใหญ่อย่างแอปเปิ้ล ซัมซุง และกูเกิล เริ่มปรับแผนการผลิตแล้ว
หลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ “วงการเทคโนโลยีทั่วเอเชีย” ต่างเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะการเผชิญกับมาตรการกีดกันทางการค้าที่อาจรุนแรงขึ้น และแรงกดดันให้ย้ายฐานการผลิตเข้าสู่สหรัฐ
ซัพพลายเออร์รายหนึ่งของแอปเปิ้ล (Apple) เปิดเผยว่า “ห่วงโซ่อุปทานจำเป็นต้องคาดเข็มขัดนิรภัย และเตรียมพร้อมรับความปั่นป่วนอีกครั้ง แต่พวกเราพร้อมแล้ว”
บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายแห่งได้เริ่มปรับตัวล่วงหน้า แอปเปิลเร่งขยายกำลังการผลิตในอินเดีย เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดภาษีนำเข้าไอโฟนจากจีน ขณะที่ซัพพลายเออร์ของซัมซุง (Samsung) ก็เพิ่มการลงทุนในไทยเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กูเกิลก็สั่งให้ซัพพลายเออร์เร่งเพิ่มกำลังการผลิตในอินเดียเช่นกัน
ยอ ฮัน-กู อดีตรัฐมนตรีการค้าเกาหลีใต้ และปัจจุบันเป็นนักวิจัยอาวุโสที่สถาบันปีเตอร์สันเพื่อเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ กล่าวว่า ประชาชนอเมริกันได้เลือกการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีจะเร็วขึ้น ใหญ่ขึ้น และเข้มข้นขึ้น เร่งการแยกตัวออกจากห่วงโซ่อุปทานจีน นี่จะเป็นความท้าทายสำหรับพันธมิตรสหรัฐในการปรับท่าทีต่อทรัมป์ที่ได้รับชัยชนะ
ด้าน คริส เปเรรา (Chris Pereira) ผู้ก่อตั้ง และซีอีโอบริษัทที่ปรึกษา iMpact และอดีตพนักงานระดับสูงของหัวเว่ย (Huawei) มองในแง่บวกว่า “คิดว่าด้วยชัยชนะของทรัมป์ ทุกอย่างกลับมาอยู่บนโต๊ะเจรจาอีกครั้ง จะมีทั้งได้ และเสียในการเจรจา จีนอาจพิจารณาเข้าสู่โต๊ะเจรจาเพื่อหาข้อตกลงที่เหมาะสม และหาวิธีใหม่ๆ ในการร่วมมือกัน”
อุตสาหกรรมชิปเซมิคอนดักเตอร์อาจได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เบรดี้ หวัง (Brady Wang) นักวิเคราะห์จาก Counterpoint Research ระบุว่า ชัยชนะของทรัมป์อาจหมายความว่าผู้ผลิตชิปในเอเชียจากไต้หวันถึงเกาหลีใต้จำเป็นต้องลงทุนในสหรัฐมากขึ้นเพื่อป้องกันตัวเองจากการตกเป็นเป้า
ทรัมป์อาจใช้นโยบายหรือวิธีอื่นๆ กดดันให้บริษัทผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของไต้หวันอย่าง TSMC ย้ายการผลิตชิปเทคโนโลยีล้ำสมัยไปยังสหรัฐมากขึ้น แม้การผลิตชิปในสหรัฐจะกระทบต่อกำไร แต่เมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่จะกลายเป็นเป้าทางภูมิรัฐศาสตร์ การแลกเปลี่ยนนี้อาจจัดการได้สำหรับผู้ผลิตชิปที่มั่นคงในไต้หวัน และเกาหลีใต้
แม้บริษัทชิปรายใหญ่อย่าง TSMC, ซัมซุง และ เอสเค ไฮนิกซ์ (SK Hynix) ได้ทุ่มงบลงทุนในสหรัฐไปแล้ว โดยซัมซุงอาจเผชิญแรงกดดันมากกว่า SK Hynix เนื่องจากซัมซุงลงทุนในโรงงานผลิตชิป (foundry fabs) ขนาดใหญ่ในสหรัฐ
ในขณะที่การลงทุนของเอสเค ไฮนิกซ์มีขนาดเล็กกว่า และเป็นเพียงกระบวนการ back-end เท่านั้น อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าทรัมป์อาจไม่เก็บภาษีชิปหน่วยความจำในอัตราสูง เพราะจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในสหรัฐ
มิลเลอร์ ชาง (Miller Chang) ประธานกลุ่มอินเทอร์เน็ตออฟธิงส์แบบฝังตัวของ Advantech เผยว่าบริษัทจะเร่งประเมินแผนการสร้างสายการผลิตขั้นสูงในสหรัฐหลังชัยชนะของทรัมป์ เนื่องจากสหรัฐเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของบริษัท คิดเป็น 30% ของรายได้ และลูกค้าในสหรัฐเรียกร้องผลิตภัณฑ์ “ผลิตในสหรัฐ (Made in USA)” มากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ผู้บริหารในอุตสาหกรรมชิปของไต้หวันรายหนึ่งยอมรับว่า “นี่เป็นประเด็นที่ท้าทายมากในการเตรียมการ แน่นอนว่าเราได้หารือกัน แต่เราไม่สามารถวางแผนที่เป็นรูปธรรมได้จริงๆ ประธานาธิบดีทรัมป์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และแผนใดๆ ก็ไม่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นได้”
ทีเอช ตัง (TH Tung) ประธานเพกาตรอน ซัพพลายเออร์รายใหญ่ของแอปเปิ้ล ไมโครซอฟท์ และเทสลา กล่าวว่า สภาพแวดล้อมการค้าโลกได้เปลี่ยนไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากกระแสการปกป้องทางการค้า โดยคาดว่าเส้นทางข้างหน้าจะขรุขระมากขึ้น และอุตสาหกรรมจะต้องมีการสื่อสารมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทั้งหมดในอีกสี่ปีข้างหน้า
แม้จะมีมุมมองที่หวังว่าจะเกิดการเจรจาเพื่อหาทางออกใหม่ระหว่างสหรัฐกับจีน แต่บริษัทเทคโนโลยีในเอเชียต่างต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่จะเกิดขึ้น การกระจายความเสี่ยง และการปรับตัวให้สอดคล้องกับนโยบายการค้าใหม่จะเป็นกุญแจสำคัญในการอยู่รอดภายใต้การนำของทรัมป์ในสี่ปีข้างหน้า
อ้างอิง: Asia Nikkei
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์