เทคยักษ์ใหญ่เร่งสปีดเอไอ 6-12 เดือนข้างหน้า ชี้ชะตา ‘อนาคต AGI’
สำรวจกลยุทธ์ของ 6 บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่กำลังเร่งพัฒนา AI ในอัตราเร็วแบบก้าวกระโดด พร้อมบทวิเคราะห์ว่าทำไม 6-12 เดือนข้างหน้านี้ถึงสำคัญต่ออนาคต Artificial General Intelligence (AGI) และใครจะขึ้นเป็นผู้นำ?
การแข่งขันพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (Artificial General Intelligence หรือ AGI) กำลังทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุด อดีตผู้บริหารของ Google อย่าง เอริก ชมิดต์ ได้ออกมาคาดการณ์ว่า “ภายใน 1 ปีหลังจากนี้ เราจะได้เห็นว่าใครคือผู้นำตัวจริงในวงการเอไอยุคใหม่ เพราะตอนนี้เทคโนโลยีกำลังพัฒนาก้าวกระโดดแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
ชมิดต์ระบุว่า ผู้ชนะในการปฏิวัติด้านการสร้างเนื้อหาทั้งโค้ด วิดีโอ และข้อความ จะถูกกำหนดภายใน 6-12 เดือนข้างหน้า เพราะอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่าทุก 6 เดือน และเมื่อเส้นทางการพัฒนาถูกกำหนดแล้ว คู่แข่งจะยากที่จะไล่ตามทัน นอกจากนี้ เขายังทำนายว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า โมเดลเอไอจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น 50-100 เท่า
ด้าน เจนเซ่น หวง ผู้บริหารสูงสุดของ Nvidia ได้แสดงความคิดเห็นในรายการพอดแคสต์ No Priors ว่า ตอนนี้บรรดาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่กำลังแข่งขันกันอย่างเข้มข้นเพื่อเป็นผู้นำในการพัฒนา AGI หรือปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถระดับมนุษย์
หวงเปรียบเทียบว่า เหมือนการแข่งกันปีนขึ้นไปให้ถึงยอดเขาลูกแรก โดยมีผู้แข่งขันรายสำคัญอย่าง OpenAI, Anthropic, xAI รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google, Meta และ Microsoft เขายังกล่าวเสริมด้วยว่า “รางวัล” จากการสร้างปัญญารูปแบบใหม่นี้มีความสำคัญมากเกินกว่าที่จะไม่ลงมือทำ ไม่มีบริษัทไหนอยากพลาดโอกาสนี้ไป
พูดง่ายๆ คือ หวงมองว่าการพัฒนา AGI เหมือนการแข่งขันครั้งประวัติศาสตร์ที่จะกำหนดอนาคตของเทคโนโลยี และทุกบริษัทต่างทุ่มเทสุดกำลังเพื่อเป็นผู้ชนะในการแข่งขันครั้งนี้ และ “ไม่มีใครอยากตกขบวน”
OpenAI
OpenAI ดำเนินงานผ่านกลยุทธ์ Strawberry (o1) ซึ่งใช้วิธีคือ การนำข้อมูลที่สร้างขึ้นจากโมเดล GPT-5 มาใช้พัฒนาตัวเองแบบวนซ้ำ เปรียบเสมือนการต่อยอดความรู้จากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง ทำให้ GPT แต่ละเวอร์ชันใหม่ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ
ทาง แซม อัลท์แมน ซีอีโอของ OpenAI มองว่าการพัฒนานี้ไม่มีขีดจำกัด แต่ อิลยา ซุตสเคเวอร์ อดีตหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ขององค์กรเน้นย้ำว่า สิ่งสำคัญคือต้องขยายในทิศทางที่ถูกต้อง แม้ OpenAI จะแสดงความมั่นใจในแนวทางของตน แต่ก็มีคำถามว่าในระยะยาวแล้ว การพัฒนาแบบนี้จะยังได้ผลดีเหมือนเดิมหรือไม่ หรืออาจจะถึงจุดที่พัฒนาได้น้อยลงเรื่อยๆ
ภาพรวมคือ OpenAI กำลังใช้วิธีให้เอไอเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับการที่รุ่นพี่สอนรุ่นน้อง แล้วรุ่นน้องก็นำความรู้นั้นไปต่อยอดให้ดียิ่งขึ้น แม้จะมีความท้าทายในระยะยาว แต่พวกเขาก็เชื่อมั่นว่านี่คือเส้นทางที่จะนำไปสู่การพัฒนา AGI ได้สำเร็จ
Meta
Meta ภายใต้การนำของ ยาน เลอคุน หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของบริษัท เขาไม่ได้สนใจแค่การทำให้เอไอตอบคำถามหรือทำงานได้เก่งขึ้นเท่านั้น แต่มุ่งเน้นที่จะสร้างระบบที่คิดและใช้เหตุผลได้เหมือนมนุษย์จริงๆ ผ่านระบบที่เรียกว่า AMI (Autonomous Machine Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ที่คิดได้ด้วยตัวเอง
โดย Meta กำลังพัฒนาเทคโนโลยีสำคัญสองตัวคือ Layer Skip และ V-JEPA ซึ่งจะช่วยให้เอไอเข้าใจและทำงานร่วมกับโลกความเป็นจริงได้ดีขึ้น เช่น การมองเห็นและเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัว การเรียนรู้จากสภาพแวดล้อม หรือการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ บริษัทยังกำลังพัฒนา Llama 4 รุ่นใหม่ พร้อมกับเครื่องมืออย่าง Self-Taught Evaluator ที่จะช่วยให้เอไอแก้ปัญหาต่างๆ ได้เป็นขั้นเป็นตอนคล้ายกับวิธีคิดของมนุษย์ แทนที่จะเป็นแค่การตอบคำถามแบบตรงๆ เช่น ถ้าเจอโจทย์ยากๆ ก็จะรู้จักแบ่งเป็นขั้นตอนย่อย ค่อยๆ คิด ค่อยๆ แก้ไปทีละส่วน แทนที่จะพยายามหาคำตอบทั้งหมดในครั้งเดียว
Anthropic
Anthropic กำลังพยายามสร้างความแตกต่างและจุดเด่นของตนเอง โดยเรียนรู้จากความสำเร็จของ OpenAI แต่ก็ไม่ได้เลียนแบบทั้งหมด พวกเขาพยายามหาวิธีการใหม่ๆ ในการพัฒนาเอไอให้เก่งขึ้น
ตอนนี้บริษัทกำลังทุ่มเทกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตระกูล Claude โดยเฉพาะ Claude 3.5 Opus และกำลังวางแผนสำหรับ Claude 4 ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ดาริโอ อาโมได ซีอีโอของบริษัทมองการณ์ไกลและระมัดระวังมาก เขาสังเกตเห็นปัญหาสำคัญในวงการเอไอ นั่นคือ แม้จะมีข้อมูลมากมายให้เอไอเรียนรู้ แต่เมื่อทำให้โมเดลใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มันอาจจะไม่ได้ฉลาดขึ้นตามที่คาดหวัง เหมือนกับการเรียนที่ถึงจุดหนึ่งแล้วไม่พัฒนา
ด้วยเหตุนี้ Anthropic จึงไม่ได้มุ่งเน้นแค่การทำโมเดลให้ใหญ่ขึ้นอย่างเดียว แต่กำลังทดลองเทคนิคใหม่ๆ อย่างเช่น dictionary learning ซึ่งเป็นวิธีการที่ช่วยให้เอไอเรียนรู้และจดจำรูปแบบข้อมูลได้ดีขึ้น เพื่อแก้ไขข้อจำกัดของโมเดลภาษาขนาดใหญ่แบบเดิมๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
Google กำลังใช้วิธีการแบบผสมผสาน โดยทำ 2 อย่างควบคู่กันไป ได้แก่ การขยายขนาด คือ การทำให้โมเดลใหญ่และแรงขึ้น และการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้เอไอทำงานได้ดีขึ้น
แม้ว่าโมเดล Gemini ที่เพิ่งออกมาจะยังไม่เก่งอย่างที่ทุกคนคาดหวัง แต่เดมิส ฮัสซาบิส ซีอีโอของบริษัทก็ยังมั่นใจในแนวทางของตัวเอง โดยบอกว่าบริษัทใช้เวลาและทรัพยากรครึ่งหนึ่งไปกับการคิดค้นวิธีการใหม่ๆ ในการพัฒนาเอไอ
นอกจากนี้ บริษัทยังทุ่มเทกับการพัฒนาระบบพิเศษในด้านระบบจำลองโลกจริง ที่ช่วยให้เอไอเข้าใจและทำงานกับสถานการณ์จริงได้ดีขึ้น และระบบที่เรียกว่า AlphaProof และ AlphaGeometry ที่ช่วยให้เอไอแก้โจทย์คณิตศาสตร์และเรขาคณิตได้เก่งขึ้น
xAI
xAI ของ อีลอน มัสก์ มีเป้าหมายที่จะสร้างระบบเอไอที่ยึดมั่นในการค้นหาความจริงและปราศจากอคติทางความคิด ซึ่งจะเห็นได้จากการที่บริษัทกำลังพัฒนา Grok 3 ที่มัสก์หวังว่าจะเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญที่จะทำให้เหนือกว่าเอไอรุ่นปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม xAI กำลังระดมทุนมหาศาลถึง 6 พันล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อชิปอินวิเดียจำนวน 100,000 ชิ้น โดยบริษัทถูกประเมินมูลค่าสูงถึง 50 พันล้านดอลลาร์ และเมื่อเดือนที่ผ่านมา xAI ได้สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์เอไอที่ใหญ่ที่สุดในโลกชื่อ Colossus ร่วมกับ NVIDIA ซึ่งใช้เวลาสร้างเพียง 122 วัน
มัสก์มองว่าถ้า xAI เป็นผู้นำคนแรก คนอื่นก็จะตามมาในอีก 6 เดือนถึง 1 ปี และการที่เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้นำกรมประสิทธิภาพของรัฐบาล (DOGE) ในสมัยทรัมป์ ก็อาจช่วยเร่งวาระด้านเอไอในทำเนียบขาวได้มากขึ้น นี่แสดงให้เห็นว่า xAI กำลังเดินหน้าอย่างจริงจังทั้งในแง่การลงทุนด้านเทคโนโลยีและการสร้างอิทธิพลทางการเมือง
Apple
Apple มุ่งเน้นการพัฒนา “Apple Intelligence” เพื่อทำให้อุปกรณ์ทุกชิ้นฉลาดขึ้น พร้อมกับรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ผ่านระบบ private cloud compute สำหรับการรัน LLM
ศ.ดร. เปโดร โดมิงโกส จากมหาวิทยาลัยวอชิงตันถึงกับวิจารณ์ว่า AGI สำหรับ Apple หมายถึง Apple Giving up on Intelligence หรือการยอมแพ้ในด้านปัญญาประดิษฐ์นั่นเอง
ท้ายที่สุดแล้ว การแข่งขันพัฒนา AGI ที่กำลังเกิดขึ้นจะเป็นตัวกำหนดอนาคตของเทคโนโลยี โดยแต่ละบริษัทมีจุดแข็งและวิธีการที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ข้อมูลจำลอง การพัฒนาระบบการคิด การค้นหาวิธีการใหม่ หรือการลงทุนสร้างพื้นฐาน เราคงต้องติดตามกันต่อไปว่าใครจะเป็นผู้ชนะในการแข่งขันครั้งประวัติศาสตร์นี้
อ้างอิง: AIM India Business Insider Toms Guide และ Google