อ.วังน้อย ครัวสมาร์ทฟู้ดราคา 1.3พันล้านของซีพีเอฟ
ซีพีเอฟ พลิกโฉม เพิ่มมูลค่าอาหารสำเร็จรูปให้ทำหน้าที่ป้องกันโรค-เสริมสร้างภูมิต้านทาน รองรับกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และกลุ่มคนทุกช่วยวัย ลงทุนกว่า 1,300 ล้านบาทตั้งศูนย์นวัตกรรมอาหารใหญ่สุดในอาเซียนพร้อมโรงงานต้นแบบกว่า 10 ไร่ใน จ.พระนครศรีอยุธยา
นายสุขวัฒน์ ด่านเสริมสุข ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจอาหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟลงทุนกว่า 1,350 ล้านบาทตั้งศูนย์พัฒนานวัตกรรมอาหารมาตรฐานโลก พื้นที่ประมาณ 10 ไร่ที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา มุ่งเน้นการคิดค้นสร้างสรรค์วัตถุดิบและอาหารสุขภาพกลุ่มสมาร์ทรองรับสังคมผู้สูงอายุ ผู้ป่วยและกลุ่มคนทุกช่วงวัย เนื่องจากเมืองไทยกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ จะเห็นว่าปี 2564 จะมีผู้สูงวัยถึง 14 ล้านคน ถ้าได้รับประทานอาหารถูกต้อง ย่อยง่าย อิ่มสบายท้องก็จะมีอายุยืนยาวขึ้น เช่นเดียวกับกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องการสารอาหารครบถ้วนและเหมาะกับโรค เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง รวมทั้งกลุ่มคนในทุกเพศวัยที่ต้องการสารอาหารและพลังงานที่เพียงพอความต้องการของร่างกายแต่ละคน ปัจจุบัน ซีพีเอฟมีรายได้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหาร 130,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากตลาดต่างประเทศ 90,000 ล้านบาท ในประเทศ 30,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตต่อปี 10-12% และในแต่ละปีจัดสรรงบ 1% จากรายได้หรือคิดเป็นมูลค่า 1,300 ล้านบาท เพื่อวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหารออกมาสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งการนำเข้าเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยจากต่างประเทศอีกด้วย
“จากเดิมเราพัฒนาอาหารให้อร่อยถูกปาก ต่อมาต้องดีสุขภาพและสุดท้ายคือ อาหารเป็นยาที่ช่วยทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคได้ดีขึ้น จึงต้องให้ความสำคัญกับกลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าว่าจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 30% ภายในปี 2573 และสำคัญที่สุดคือ เรากล้าที่จะเสนอสินค้ามังสวิรัติ ไม่มีเนื้อสัตว์ปน ในขณะที่ซีพีทำธุรกิจเนื้อสัตว์ หมู ไก่ ไข่ ปลา กุ้ง โดยเห็นว่าโอกาสของคนที่รับประทานอาหารเหล่านี้ยังมี ปีนี้เปิดตัวสินค้ากลุ่มนี้หลายรายการ เช่น ข้าวผัดสาหร่ายคู่สหายมังสวิรัติ ซาลาเปาเห็ด"
ศูนย์นวัตกรรมฯ วังน้อย ประกอบด้วย 2 อาคาร คือ อาคารวิจัย-พัฒนาอาหาร และ อาคารโรงงานต้นแบบ ซึ่งออกแบบเป็นอาคารประหยัดพลังงาน ติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อปและระบบน้ำร้อนพลังแสงอาทิตย์ ภายในอาคารประกอบด้วยอุปกรณ์การผลิตและเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทันสมัย ทั้งยังถูกกำหนดให้เป็นศูนย์กลางการพัฒนาอาหารของเครือ โดยมีนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขารวมกว่า 250 คนมาทำงานบูรณาการร่วมกัน ประกอบด้วย 3 กลุ่มหลัก คือ นักวิจัยที่เชี่ยวชาญด้านอาหาร วิศวกรและเชฟ ที่จะนำองค์ความรู้จากวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์มาพัฒนาสิ่งใหม่ และช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นฮับแห่งนวัตกรรมด้านอาหารในระดับโลก พร้อมส่งต่อองค์ความรู้จากแล็บไปยังบริษัทในเครือทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน ที่สามารถทำการวิจัยและพัฒนาตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทั้ง 9 กลุ่มสินค้าหลักในเครือ อาทิ ไก่เป็ด ไข่ ไส้กรอก หมู สัตว์น้ำ ซอสปรุงรส เบเกอรี่ อาหารพร้อมทาน เป็นต้น
นอกจากนี้ ในอนาคตจะเปิดกว้างให้กับกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก เข้ามาใช้บริการศูนย์วิจัยและโรงงานต้นแบบในรูปแบบวัน สต๊อป เซอร์วิส เพื่อทดลองทำผลิตภัณฑ์ในสูตรเฉพาะตนเองออกไปทดลองตลาด ก่อนที่จะลงทุนขยายกำลังการผลิตระดับแมสต่อไป หรือหากมีจำนวนไม่มากก็สามารถใช้บริการผลิตจากโรงงานต้นแบบนี้ ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตและจัดจำหน่ายจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงสามารถนำผลิตภัณฑ์ต้นแบบจากโรงงานไปทดลองตลาดได้
นางสาวศศิ ภวมัย ผู้จัดการฝ่ายวิจัยผลิตภัณฑ์อาหาร กล่าวว่า แนวทางการพัฒนานวัตกรรมอาหาร ซึ่งไม่ใช่ทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและยา แต่อยู่ตรงกลางระหว่างยากับอาหาร มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรค ไม่ใช่การรักษาโรค อีกทั้งรูปแบบการบริโภคก็ไม่จำเป็นต้องเป็นแคปซูลเหมือนยา โดยอาจอยู่ในรูปแบบเม็ดแล้วนำไปผสมในอาหารหรือเครื่องดื่ม เมื่อบริโภคเข้าสู่ร่างกายแล้วจะออกฤทธิ์ในตำแหน่งหรืออวัยวะส่วนที่ต้องการได้ ล่าสุด บริษัทได้พัฒนาซุปเพื่อสุขภาพ ที่ผลิตจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น ฟักทอง มันม่วง ผักโขมและบร็อกโคลี่ เป็นต้น เน้นรับประทานง่าย เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่มีปัญหาด้านการเคี้ยวกลืนอาหาร เช่น ผู้ป่วยที่ให้อาหารทางสายยาง ผู้ป่วยระยะพักฟื้น รวมทั้งกลุ่มผู้สูงอายุ นอกจากนี้ ภายในปีนี้ ยังเตรียมวางจำหน่ายเครื่องดื่มที่สกัดจากน้ำใบบัวบก ที่มีคุณสมบัติด้านการบำรุงสมอง ซึ่งอยู่ระหว่างการทดสอบกับผู้บริโภค และในอนาคตจะพัฒนาอาหารที่มีคุณสมบัติเป็นยาออกมาในลักษณะนาโนแคปซูล นาโนเซลลูโลส โพรไบโอติกส์ ออกมาเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคทั้งไทยและต่างประเทศ จากปัจจุบันซีพีเอฟ มีฐานลูกค้าทั่วโลกประมาณ 3,000 ล้านคน
“จากเดิมคนทั่วไปคุ้นเคยว่า สมุนไพรใบบัวบกช่วยรักษาอาการช้ำใน ฟกช้ำ แต่มีการศึกษาวิจัยพบว่า น้ำใบบัวบกมีสาระสำคัญที่จะช่วยบำรุงประสาท ลดโรคความจำเสื่อม ต่อไปการดื่มน้ำใบบัวบกจะไม่ใช่แค่บำรุงเรื่องระบบย่อยอาหารเท่านั้นแต่ยังบำรุงระบบประสาท ที่สำคัญเป็นพืชพื้นบ้านของไทย ฉะนั้น การวิจัยและพัฒนานี้จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับใบบัวบกซึ่งเป็นพืชพื้นบ้านมากขึ้น” นางสาวศศิ กล่าว