กสทช.เร่งอี-บิดดิ้งเน็ตชาย เม.ย.ปี 63
ชงเข้าคณะกรรมการตรวจรับถกอีกรอบ 13 พ.ย.นี้
กสทช.เข็นงานเน็ตชายขอบจากที่ทีโอทีทำเละส่งมอบไม่ทันตามสัญญา เคลียร์โครงการเน็ตชายขอบ คาด 13 พ.ย.นี้ รู้ผลพื้นที่ไหนต้องอี-บิดดิ้งใหม่ หวังเปิดประมูล เม.ย.2563 โดยผู้สนใจประมูลต้องประเมินมูลค่าโครงการเอง เพื่อความรวดเร็วในการดำเนินการ ขณะที่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนใช้งานตามบ้าน 200 บาทต่อเดือน กว่า 70,000 ครัวเรือนต้องรอให้โครงการเสร็จทั้งหมดเพื่อเริ่มนับหนึ่งพร้อมกัน
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า หลังจากที่กสทช.มีหนังสือยกเลิกสัญญา โครงการ บริการจัดให้มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่และบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ชายขอบ หรือเน็ตชายขอบ โซน ซีกับบมจ.ทีโอที ไปเมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา และทีโอทีได้ตั้งคณะกรรมการชุดเล็กประชุมร่วมกับคณะกรรมการตรวจรับ เพื่อสรุปพื้นที่ที่ใกล้เสร็จ และสามารถส่งมอบได้เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะนำเข้าคณะกรรมการตรวจรับชุดใหญ่ในวันที่ 13 พ.ย นี้ เพื่อสรุปกันอีกครั้ง
ทั้งนี้ จากการประชุมร่วมกัน กสทช. ไม่สามารกยกเลิกคำสั่งการยกเลิกสัญญาได้ แต่ให้ทีโอทีนำพื้นที่ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จหรือเหลือการทำงานอีกเพียง 20 % เพื่อดำเนินการต่อให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้ ส่วนที่ไม่สามารถทำได้ เพราะผิดเงื่อนไขสัญญาและผิดสเปคต้องส่งมอบคืนให้กสทช.เพื่อให้กสทช.นำพื้นที่ดังกล่าวให้เอกชนรายใหม่ที่สนใจเข้าร่วมประมูลประเมินราคาและเสนอเข้ามาใหม่ในระบบการประมูลแบบอี-บิดดิ้ง คาดว่าภายในเม.ย.2563 จะสามารถเปิดประมูลอี-บิดดิ้งได้
“การที่กสทช.ต้องการให้ผู้เข้าร่วมประมูลรายใหม่ประเมินราคาเองนั้น จะทำให้กระบวนการอี-บิ้ดดิ้ง เร็วขึ้น และหากมีปัญหาก็ให้ดำเนินการเคลียร์กับทีโอทีโดยตรง ซึ่งผู้ชนะรายใหม่จะใช้อาคารยูโซ่เดิมของ ทีโอทีก็ทำได้ แต่จะต้องปรับปรุงแก้ไขให้ถูกสเปก ก่อนส่งมอบงานให้ ซึ่งอาคารยูโซ่ของทีโอทีเสร็จแล้วจำนวน 16 แห่ง คณะกรรมการตรวจรับงานได้จำนวน 3 แห่ง จากที่ต้องก่อสร้างจำนวน 371 แห่ง ”
เขา กล่าวว่า ภายในสิ้นเดือนนี้ ภาพรวมของโครงการทั้งหมด ยกเว้นพื้นที่ของทีโอที ต้องเปิดให้บริการตามเดิม ไม่สามารถรอโครงการของทีโอทีแล้วเสร็จพร้อมกันแล้วจึงค่อยเปิดให้บริการ เนื่องจากเอกชนรายอื่นทำตามสัญญาและต้องมีการรับมอบและจ่ายเงิน แต่สำหรับประชาชนผู้ลงทะเบียนสวัสดิการรัฐ หรือ ผู้มีรายได้น้อย ที่จะใช้สิทธิ์ในการเชื่อมต่อเข้าครัวเรือนเดือนละ 200 บาท กว่า 70,000 ครัวเรือนนั้น ต้องรอให้โครงการของทีโอทีเก่าและโครงการที่จะได้เอกชนรายใหม่มาทำต่อให้เสร็จก่อน ถึงจะเปิดให้บริการพร้อมกันได้ ไม่เช่นนั้นจะสร้างความไม่เท่าเทียมในสังคมและเริ่มนับหนึ่งในการให้สิทธิในการใช้ค่าบริการราคาดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปี ไม่เท่ากัน
สำหรับโครงการที่ ทีโอที ชนะการประมูลประกอบด้วย 3 สัญญา วงเงินรวม 6,486.39 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ได้แก่ 1.โครงการจัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์ อินเทอร์เน็ต เซอร์วิส) ภาคเหนือ มูลค่า 2,103 ล้านบาท 2.โครงการจัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเช่นกัน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มูลค่า 2,492 ล้านบาท และ 3.โครงการจัดให้มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โมบาย เซอร์วิส) มูลค่า 1,899.99 ล้านบาท
“การที่กสทช.ต้องการให้ผู้เข้าร่วมประมูลรายใหม่ประเมินราคาเองนั้น จะทำให้กระบวนการอี-บิ้ดดิ้ง เร็วขึ้น และหากมีปัญหาก็ให้ดำเนินการเคลียร์กับทีโอทีโดยตรง ซึ่งผู้ชนะรายใหม่จะใช้อาคารยูโซ่เดิมของ ทีโอทีก็ทำได้ แต่จะต้องปรับปรุงแก้ไขให้ถูกสเปก ก่อนส่งมอบงานให้ ซึ่งอาคารยูโซ่ของทีโอทีเสร็จแล้วจำนวน 16 แห่ง คณะกรรมการตรวจรับงานได้จำนวน 3 แห่ง จากที่ต้องก่อสร้างจำนวน 371 แห่ง ”
เขา กล่าวว่า ภายในสิ้นเดือนนี้ ภาพรวมของโครงการทั้งหมด ยกเว้นพื้นที่ของทีโอที ต้องเปิดให้บริการตามเดิม ไม่สามารถรอโครงการของทีโอทีแล้วเสร็จพร้อมกันแล้วจึงค่อยเปิดให้บริการ เนื่องจากเอกชนรายอื่นทำตามสัญญาและต้องมีการรับมอบและจ่ายเงิน แต่สำหรับประชาชนผู้ลงทะเบียนสวัสดิการรัฐ หรือ ผู้มีรายได้น้อย ที่จะใช้สิทธิ์ในการเชื่อมต่อเข้าครัวเรือนเดือนละ 200 บาท กว่า 70,000 ครัวเรือนนั้น ต้องรอให้โครงการของทีโอทีเก่าและโครงการที่จะได้เอกชนรายใหม่มาทำต่อให้เสร็จก่อน ถึงจะเปิดให้บริการพร้อมกันได้ ไม่เช่นนั้นจะสร้างความไม่เท่าเทียมในสังคมและเริ่มนับหนึ่งในการให้สิทธิในการใช้ค่าบริการราคาดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปี ไม่เท่ากัน
สำหรับโครงการที่ ทีโอที ชนะการประมูลประกอบด้วย 3 สัญญา วงเงินรวม 6,486.39 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ได้แก่ 1.โครงการจัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์ อินเทอร์เน็ต เซอร์วิส) ภาคเหนือ มูลค่า 2,103 ล้านบาท 2.โครงการจัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเช่นกัน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มูลค่า 2,492 ล้านบาท และ 3.โครงการจัดให้มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โมบาย เซอร์วิส) มูลค่า 1,899.99 ล้านบาท