'แคสเปอร์สกี้' เปิดผลวิจัยความก้าวหน้า 'ผู้หญิง' วงการเทคฯสะดุดเพราะล็อกดาวน์!

'แคสเปอร์สกี้' เปิดผลวิจัยความก้าวหน้า 'ผู้หญิง' วงการเทคฯสะดุดเพราะล็อกดาวน์!

ผู้หญิงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ทำงานด้านเทคโนโลยีเกือบครึ่งเชื่อว่าผลกระทบของโควิด-19 ชะลอความก้าวหน้าในอาชีพ แม้ว่าผู้หญิงจำนวน 64% จะเชื่อว่าโครงสร้างการทำงานระยะไกลจะทำให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศที่จำเป็นมากขึ้น

ในขณะที่ชีวิตช่วงล็อกดาวน์ถูกกำหนดให้เป็นตัวเร่งที่เป็นไปได้ในการมีโอกาสทางเพศที่เท่าเทียมกันในตำแหน่งไอที ​​แต่อคติทางสังคมที่ยังมีอยู่ก็ได้ขัดขวางโอกาสการพัฒนาที่อาจเกิดขึ้น

ชีวิตช่วงการล็อกดาวน์นั้นมีแนวโน้มว่าจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกเรื่องของการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางเพศในที่ทำงาน ด้วยการจับอยู่ที่แง่มุมเรื่องของการวางแผนครอบครัว การดูแลครอบครัว และเชิงสังคม ทำให้ภาพจำในจุดนี้เข้ามาลดทอนบทบาทและศักยภาพ ความพร้อมด้านเวลาในการที่จะทุ่มเทให้กับความก้าวหน้าในการงาน สายอาชีพลงไปอย่างมาก ผลกระทบจากโควิดหมายความว่าบริษัทองค์กรต่างๆ ถูกเร่งหรือแม้แต่บีบให้ก้าวเข้าสู่วิถีปฏิบัติแนวใหม่ในเพียงชั่วข้ามคืน และในระดับหนึ่ง การคาดการณ์นี้อีกนัยหนึ่งก็ช่วยเป็นการเปิดทางให้ทั้งอุตสาหกรรมได้ปรับเปลี่ยนมุมมองกันใหม่

161235850951

รายงานเกี่ยวกับผู้หญิงในวงการเทคโนโลยี Women in Tech โดยแคสเปอร์สกี้ในหัวข้อ “Where are we now? Understanding the evolution of women in technology” การมองวิวัฒนาการสถานภาพของผู้หญิงในแวดวงเทคโนโลยี นั้นพบว่าผู้หญิงจากภูมิภาคนี้เกือบหนึ่งในสาม (25%) ทำงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและชื่นชอบที่จะทำงานจากบ้านมากกว่าการเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ และด้วยจำนวนเดียวกันรายงานว่าการทำงานจากบ้านนั้นให้ประสิทธิภาพมากกว่า และผู้หญิง 28% เผยว่าตนจะมีความเป็นตัวของตัวเอง กำหนดทิศทางอะไรต่างๆ ได้ดีกว่าเมื่ออยู่ในออฟฟิศ ซึ่งเป็นผลการสำรวจที่ต่ำกว่าตัวเลขการสำรวจทั่วโลกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งอยู่ที่ 33%

อย่างไรก็ตาม สถิติที่น่าเป็นห่วงจากรายงานฉบับนี้เน้นไปที่ ความเป็นไปได้ของการทำงานจากบ้านของผู้หญิงในอุตสาหกรรมเทคนั้นไม่สอดคล้องไปกับความก้าวหน้าเชิงสังคม ‘working from home’ ทุกวันนี้ เกือบครึ่งของผู้หญิงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (46%) ทำงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ที่ต้องจัดแบ่งเวลาชีวิตทำงานกับครอบครัวมาตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2563 และเป็นรูปแบบเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในทวีปอเมริกาเหนือ และยังเป็นแนวโน้มที่พบเห็นได้ทั่วโลกอีกด้วย

161235852552

แพทริเซีย เกสโตโซ หัวหน้าฝ่าย Head of Scientific Customer Support บริษัท BIOVIA กล่าวว่า ผลกระทบของโรคระบาดต่อผู้หญิงนั้นต่างกันไป บ้างก็ยินดีไปกับความคล่องตัวและการที่ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปกลับบ้านออฟฟิศ ในขณะที่บางคนก็เหนื่อยล้า เป็นเรื่องสำคัญที่องค์กรต้องให้ความสำคัญในการวางนโยบายรองรับพนักงานของตนให้มีหน้าที่รับผิดชอบที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล 

“ทิศทางที่น่าสนใจอีกประการได้แก่ โรคระบาดนี้ได้เข้ามาเร่งให้เกิดการมีพนักงานสองแบบ คือ ทำงานได้จากระยะไกลไม่ต้องเข้าออฟฟิศ และอีกพวกคือได้ทั้งสองแบบรวมอยู่ในองค์กรเดียวกัน ซึ่งก็ถือว่าท้าทายสำหรับบางคนที่ก็ต้องยอมรับว่าห่างไกลจากการทำงานรวมกับหัวหน้างานหรือผู้บริหารระดับสูง อาจจะลดทอนโอกาสที่จะได้รับมอบหมายงานที่ได้แสดงประสิทธิภาพอันจะนำไปสู่การได้รับโปรโมชั่นก็เป็นได้ พนักงานมักจะตระหนักดีในข้อเสียเปรียบนี้ และควรวางแผนการทำงานเพื่อลดข้อด้อยในจุดนี้ด้วยเช่นกัน”

 

ทั้งนี้ผู้หญิงที่ทำงานในแวงวงเทคโนโลยีถึง 46% ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เทียบกับ 39% ของผู้ชาย) เชื่อว่าสภาพแวดล้อมการทำงานที่ทัดเทียมกันจะเหมาะสมที่สุดต่อความก้าวหน้าทางการงาน และ 64% คิดว่าการทำงานจากภายนอกออฟฟิศนั้นก็เป็นภาวะที่เหมาะสมที่สุดต่อความเท่าเทียมดังกล่าว ถึงตอนนี้เซ็คเตอร์เทคโนโลยีเองก็ต้องมองหาจุดสมดุลที่จะสร้างประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลงนี้และจะส่งเสริมระเบียบแบบแผนในทางสังคมที่ต่อยอดไปได้ในอนาคต

เมอริซิ วินตัน ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของเครือข่าย Ada’s List กล่าวว่า องค์กรบริษัทต่างๆ ควรต้องมีการส่งสัญญานที่เอื้อต่อการทำงานจากบ้านสำหรับพนักงานที่เป็นพ่อแม่ ไม่ว่าจะเป็นทางวัฒนธรรมองค์กรหรือนโยบายที่ให้ความคล่องตัวยืดหยุ่นในช่วงโควิด (และหลังจากโควิด) ความเข้าใจต่อการมีผู้หญิงร่วมอยู่ในระดับบริหารนั้นมีความสำคัญและมีความหมาย ซึ่งความร่วมมือกันระหว่างองค์กรกับหน่วยงานที่นำโดยผู้หญิงจากภายนอกองค์กรก็ถือได้ว่าเป็นความท้าทายระดับหนึ่ง ผลักดันไปข้างหน้า และยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจแก่พนักงานภายในองค์กรได้

เอฟจินิยา นอโมวา รองประธานฝ่ายเครือข่ายการขายระดับโลก แคสเปอร์สกี้ กล่าวว่า ถ้าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขึ้นมาเป็นผู้นำ เน้นความคล่องตัว สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีความสมดุลให้แก่พนักงานกลุ่มผู้หญิง ก็น่าที่จะกลายมาเป็นแนวทางนิยมได้อย่างรวดเร็ว กระตุ้นให้เกิดกระแสความเปลี่ยนแปลงเชิงสังคมได้ไม่ยาก ส่งสัญญานเชิงบวกแก่ฝ่ายหญิงที่จะผลักดันวิถีการทำงานแบบนี้ต่อไป แต่จะต้องมีการก้าวไปข้างหน้าด้วยประสบการณ์และเรียนรู้สิ่งที่ดีจากช่วงเวลาที่ผ่านมา ปรับสู่การทำงานที่ให้ความยืดหยุ่นมากขึ้น และเป็นกำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม