"เวริลี วิชั่น" หมอโรงงาน ส่ง "เอไอ" เช็คสุขภาพเครื่องจักร
ต้องยอมรับว่า “ความแม่นยำในการบันทึกข้อมูล” ถือเป็นประตูด่านแรกที่จะก่อให้เกิดการปฏิวัติทางอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง ดังนั้นในยุคนี้หากไร้ซึ่งเทคโนโลยีก็เสมือนไร้ซึ่งอาวุธในการต่อกรกับสมรภูมิดิสรัปต์ที่กำลังเข้ามาประชิดตัว
จึงไม่แปลกที่ปัจจุบันจะมีผู้มองเห็นโอกาสในการสร้างรายได้จากการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมออกมาตอบโจทย์ตรงจุดนี้ และก็เช่นเดียวกันกับ “เวริลี วิชั่น” หนึ่งในสตาร์ทอัพที่พัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนผ่านการทำงานของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะด้านการขนส่งและกระจายสินค้าสู่ดิจิทัล
ปิยะวัฒน์ แสงประเสริฐกฤด ผู้บริหารฝ่ายการตลาด และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เวริลี วิชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯก่อตั้งขึ้นจากการรวมตัวของเพื่อนในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย โดยผู้ร่วมก่อตั้ง 90% เป็นวิศวกรทั้งหมด ดังนั้นจะมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการพัฒนาเทคโนโลยี และการวิจัยและพัฒนา
แรกเริ่มพวกเขามีเจตารมย์ที่ต้องการจะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของไทยเข้าสู่ยุคการทำดิจิทัลฟอร์เมชัน โดยหนึ่งในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาผสานกับการทำงานแบบเดิมแบบไร้รอยต่อ ได้แก่การพัฒนา “ระบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อการตรวจสภาพเครื่องจักรในกระบวนการผลืต” ด้วยการนำหลักการทางวิศวกรรม มาพัฒนาเป็นการรวมระบบเพื่ออ่านค่าตัวเลข ตัวอักษร ด้วยการใช้ภาพถ่าย เชื่อมต่อเข้าสู่ระบบเครือข่ายเทคโนโลยีไอโอที ทั้งมีการประมวลผลด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI
“เทคโนโลยีที่บริษัทนำมาใช้ในกระบวนการบริหารจัดการสำหรับภาคอุตสาหกรรมนี้ เป็นระบบเอไอ สำหรับตรวจซ่อมบำรุง ดูแลรักษา และตรวจสอบสถานะของเครื่องจักรภายในโรงงานแบบอัตโนมัติ เพื่อลดปัญหาการใช้แรงงานคน และลดความผิดพลาดในกระบวนการทำงาน”
โดยปกติการตรวจสอบระบบต่าง ๆ จะต้องให้เจ้าหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการ 100% และต้องทำการตรวจสอบทุก 4 ชั่วโมง พร้อมทั้งจดบันทึกรายละเอียดด้วยตนเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดการคลาดเคลื่อนของข้อมูล ดังนั้น บริษัทจึงต้องการนำระบบเข้ามาแก้ไขปัญหาให้แก่ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะโรงงานที่มีการผลิต กลุ่มโลจิสติกส์ คลังสินค้า ท่าเรือ ที่จำเป็นจะต้องตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องและแม่นยำอยู่ตลอดเวลา
โดยได้มีการดีไซน์โซลูชันออกเป็น 3 อุปกรณ์ คือ 1.ระบบกล้อง CCTV 2.แท็บเลตโซลูชัน และ 3.ระบบแว่นตา Smart Glasses ที่มีการจับภาพและตรวจสอบสถานะของเครื่องจักรด้วยเอไอ และสามารถเก็บข้อมูลความผิดพลาดด้านต่าง ๆ ได้ โดยโซลูชันทั้งหมด จะสามารถถ่ายภาพ แทนคนจดข้อมูล และระบบจะประมวลผลให้ทันที อาทิ การวัดค่าความดัน ไฟฟ้า อุณหภูมิของเครื่องจักร ตรวจสอบความเสียหายของเครื่องจักร หลังจากจบขั้นตอนการตรวจสอบและเก็บข้อมูล จะมีการบันทึกข้อมูลไว้ในระบบฐานข้อมูล เพื่อให้โรงงานอุตสาหกรรมสามารถดึงข้อมูลกลับมาใช้การซ่อมบำรุงได้อย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น
และจากการเข้าร่วมโครงการ NIA Deep Tech incubation Program @ EEC ของ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ เอ็นไอเอ ทำให้ขณะนี้เทคโนโลยีของบริษัทถูกนำไปใช้ในกระบวนการดูแลเครื่องจักรบริษัทในกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ด้วยเช่นกัน
ส่ง "เอไอ" ตรวจจับป้ายทะเบียน
นอกจากนี้ บริษัทฯยังจัดทำบริการระบบการตรวจจับทะเบียนรถขนส่งและตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งเป็นระบบการตรวจจับข้อมูลผ่านกล้องถ่ายภาพอัตโนมัติโดยการอ่านข้อมูลภาพถ่ายด้วยระบบ AI หลังจากนั้นจะมีการแปลงภาพเป็นข้อมูล และเก็บบันทึกไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ง่ายต่อตรวจความถูกต้องของสินค้าภายในตู้คอนเทนเนอร์ ระยะเวลาในการขนส่งสินค้า จำนวนรอบวิ่งของรถบรรทุก
โดยระบบดังกล่าวจะเข้ามาแก้ปัญหาการใช้แรงงานคนในการจดรายละเอียด ข้อมูลในระบบคลังสินค้าและท่าเรือ จะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีทั้ง 2 รูปแบบที่บริษัทให้บริการอยู่นั้นสามารถช่วยสร้างศักยภาพในกระบวนการทำงาน และการตรวจสอบให้แก่ภาคอุตสาหกรรมการผลิต และอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยลดอัตราการใช้แรงงานคนและสามารถจัดสรรแรงงานให้ไปทำงานอื่นที่จำเป็นได้มากกว่าด้วย
“ปัจจุบันบริษัทฯโฟกัส 3 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ 1.โรงงานอุตสาหรา 2.ท่าเรือและครั้งสินค้า และ 3.กลุ่มงานจราจร โดยรายได้จะมาจากการจัดจำหน่ายโซลูชัน โดยแบ่งเป็น 2 โมเดล ได้แก่ 1.การอนุญาตให้ใช้สิทธิ (Licensing) 2.ซับสคริปชั่น (subscription) หรือการเป็นสมาชิก”
ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมจึงเลือกที่จะพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านนี้ เขาชี้ว่า ด้วยภาคอุตสาหกรรมและซัพพลายเชน เป็นอุตสาหกรรมที่สามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับแต่งการทำงานได้หลายภาคส่วน อีกทั้งในปัจจุบันการใช้เทคโนโลยีของไทยน้อยกว่าต่างประเทศ จึงมีความจำเป็นในภาคอุตสาหกรรมที่จะต้องทรานฟอร์มเพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขัน
สำหรับประโยชน์ที่ภาคอุตสาหกรรมจะได้รับ ไม่ว่าจะเป็น 1.เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน 2.ลดความผิดพลาด ลดระยะเวลา 3.สามารถนำเวลาที่มีไปสร้างคุณค่าให้กับบริษัทมากขึ้น
ทั้งนี้ภาพรวมการแข่งขันในตลาด เขามองว่า มีคู่แข่งทางธุรกิจเกิดขึ้นมากมาย แต่ก็นับเป็นสัญญาณที่ดีในการบ่งชี้ให้เห็นถึงการตอบรับจากองค์กรต่างๆ ในประเทศ จุดสำคัญคือบริษัทฯกำลังโฟกัสที่คู่แข่งจากต่างประเทศ ซึ่งแข่งในด้านคุณภาพสินค้า เทคโนโลยี และความเป็นมืออาชีพในการทำงาน
“จุดเด่นของบริษัทฯ คือ 1.การพัฒนานวัตกรรมขึ้นภายในองค์กร ทำให้มีความยืดหยุ่น และปรับแต่งให้เทคโนโลยีตอบโจทย์กับผู้ใช้งานจริงๆ ในรูปแบบการใช้งานที่หลากหลายของแต่ละพื้นที่ 2.ลูกค้าบางพื้นที่ถึงแม้จะเป็นอุตสาหกรรมเดียวกัน แต่ก็อาจมีความต้องการที่แตกต่างกัน ดังนั้นด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเอง จึงสามารถเพิ่มฟีเจอร์ พัฒนาระบบเข้ามาตอบโจทย์ได้ เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 3.ด้วยความที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมจึงทำให้มีประสบการณ์ ทำให้เมื่อนำเสนอโซลูชันจึงมองในหลากหลายมุมทั้งการดำเนินการและฝั่งเทคโนโลยี”
ขณะที่สิ่งที่จะทำให้บริษัทฯเกิดความยั่งยืน และสามารถสเกลได้คือ 1.คุณภาพ 2.ตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้อย่างแท้จริง 3.ความยืนหยุ่นในการทำงานที่สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ อีกทั้งปัจจุบันบริษัทฯได้มีการเจรจากับต่างประเทศ ผ่านการจับมือกับพาร์ทเนอร์โดยตั้งเป้าที่จะขยายตลาดสู่ประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เวียดนาม และลาว
จากการดำเนินการมา 4 ปี พบว่าผลประกอบการที่ผ่านมาเติบโต แต่ด้วยช่วงสถานการณ์โควิดส่งผลให้การเติบโตชะลอลง แต่ก็ยังดำเนินธุรกิจได้ และมีผลกำไร ซึ่งในช่วงโควิดจากการที่ลงพื้นที่ไม่ได้นั้น บริษัทฯได้หันมาปรับกระบวนการทำงานภายใน ทั้งกลยุทธ์ทางธุรกิจ รูปแบบการทำงาน การลีนภายในองค์กร เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมรองรับกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
สุดท้ายนี้การดำเนินการถัดไปคือกำลังมองหาพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่จะมาช่วยซัพพอร์ตในเรื่องของการขยายตลาด รวมทั้งการพัฒนาโปรดักท์และโซลูชัน ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาฟีเจอร์อื่นๆเพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็น ระบบตรวจสอบสภาพตู้สินค้าในการทำงานของคลังสินค้า ท่าเรือ หรือโรงงาน ว่ามีการชำรุดหรือไม่ ทั้งหมดนี้จะส่งผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่านการเก็บข้อมูลโดยใช้ระบบกล้อง คาดว่าจะสามารถลอนซ์ได้ภายในปลายปีนี้