‘เมตาเวิร์ส’ เดิมพันใหม่ ใครก็อยากไปให้ถึง

‘เมตาเวิร์ส’ เดิมพันใหม่ ใครก็อยากไปให้ถึง

เมตาเวิร์ส (Metaverse) หรือที่ภาษาไทยเรียกว่า “จักรวาลนฤมิตร” กำลังเป็นกระแสมาแรง ซึ่งแบรนด์สินค้าต่างๆ ล้วนสรรหาวิธีการที่จะก้าวเข้าไป โดยอาศัยแนวทางที่มีการผสมผสานของเทคโนโลยีต่างๆ อย่างหลากหลาย

ในมุมมองของภาคธุรกิจ แซนดร้า ลี กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แคสเปอร์สกี้ เปิดมุมมองว่า เมตาเวิร์สมีประโยชน์ในด้านความบันเทิง ทำให้ผู้เล่นได้ใช้เวลาท่องไปในจักรวาลเสมือนจริง แต่ในเวลาเดียวกันฝั่งของธุรกิจและผู้ประกอบการก็ได้ประโยชน์จากการใช้งานพื้นที่ในโลกดิจิทัลนี้ด้วย

โดยหนึ่งในตัวเลือกสำหรับภาคธุรกิจที่ชัดเจนที่สุดคือ การพัฒนาด้านการฝึกอบรมและประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับพนักงาน เมตาเวิร์สและเทคโนโลยีอิมเมอร์ซีฟต่างๆ เพื่อสร้างความกลมกลืนระหว่างโลกความเป็นจริงกับโลกจำลองแบบดิจิทัล ขณะเดียวกันมีลูกเล่นที่จะช่วยเร่งการพัฒนาศักยภาพด้าน e-skill และอื่นๆ ได้ไม่น้อยเลย

มิติใหม่ ‘อินเทอร์แอ็คทีฟ’

แคสเปอร์สกี้ ระบุว่า เมตาเวิร์สจะมอบประสบการณ์การเรียนรู้แบบอินเทอร์แอ็คทีฟรูปแบบใหม่ ผ่านเทคโนโลยีวีอาร์ เออาร์ และมิกซ์เรียลริตี้ ช่วยให้ผู้คนสามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วกว่าเดิม เก็บรักษาข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น และสนุกไปกับกระบวนการของเทคโนโลยี

งานวิจัยฉบับล่าสุดโดย “พีดับบลิวซี” เรื่องการใช้เทคโนโลยีวีอาร์เพื่อพัฒนาทักษะแบบซอฟต์สกิล พบว่า พนักงานที่ได้รับการฝึกอบรมผ่านทางเครื่องจำลองสถานการณ์แบบเสมือนจริง มีอัตราการเรียนรู้ได้ไวกว่าผู้เรียนในชั้นเรียนถึงสี่เท่า และไวกว่าผู้เรียนทางออนไลน์สองเท่า

นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับการจัดสรรทรัพยากรแล้ว ชั่วโมงในการเรียนก็มีระยะเวลาที่สั้นลง โดยใช้เวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น เมื่อเทียบกับชั้นเรียนปกติที่ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม

รายงานของ Aimprosoft คาดการณ์ว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตลาดการศึกษาอีเลิร์นนิ่งนั้นจะมีการเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 182.56 พันล้านดอลลาร์ในปี 2563 เป็น 383.23 พันล้านดอลลาร์ในปี 2569

'มนุษย์’ คือจุดอ่อน

แซนดร้า บอกว่า ความซับซ้อนเช่นนี้ทำให้ผู้ใช้เกิดความสงสัยว่า จะต้องมีการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์และการกำหนดนโยบายเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่

อย่างไรก็ตาม หากตัดเรื่องความตื่นตัวกับกระแสออกไป จะพบว่าหลายๆ สิ่งก็ยังคงดำเนินไปเช่นเดิม ยังต้องประสบปัญหากับโอกาสเสี่ยงถูกละเมิดรุกล้ำและยึดบัญชี ซึ่งนำไปสู่การขโมยข้อมูลส่วนบุคคลและการฉ้อโกง 

โดยวิธีเดียวกันนี้ หากผู้ไม่หวังดีเจาะผ่านบัญชีอีเมลโดยใช้ฟิชชิ่ง มัลแวร์ หรือใส่ข้อมูลหลอกลวง ก็จะแอบเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของคุณหรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทได้ ทั้งอาชญากรไซเบอร์ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวที่เก็บอยู่บนแพลตฟอร์มเมตาเวิร์สตัวโปรดได้อีกด้วย กล่าวได้ว่า มนุษย์คือจุดอ่อนที่สุดในด้านระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์

เดิมพันไปกับความเสี่ยง

เธอกล่าวว่า ปัญหาอีกประการ คือ ระบบการเปิดทำงานร่วมกันอาจตั้งอยู่บนเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งทำให้ผู้ใช้ต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบในการรักษาข้อมูลความเป็นตัวตนส่วนบุคคลด้วยตัวเอง และยังรวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัลให้ปลอดภัยอยู่บนบล็อคเชนนั้นที่ขาดผู้ดูแลที่มีอำนาจศูนย์กลาง

นี่จึงหมายถึงหากอวตาร NFT สุดรักถูกขโมยไป ทางแพลตฟอร์มก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้ อีกทั้งการผูกมัดตัวตน และเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล บนกระเป๋าสตางค์บล็อกเชน ซึ่งเก็บเงินและสินทรัพย์ดิจิทัลของเอาไว้ ทำให้อาชญากรไซเบอร์จะยิ่งเอาจริงเอาจังในการเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ยิ่งขึ้นไปอีก

ท้ายที่สุดแล้วคำถามเรื่องความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มคือสิ่งสำคัญ หลายบริษัทเลือกใช้เทคโนโลยีคลาวด์เป็นโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลหลักและมีการจัดตั้งทีมงานที่คอยดูแลโดยเฉพาะ ผู้ที่ต้องทำงานในด้านการดูแลข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลที่เป็นความลับอาจจำเป็นต้องอาศัยโซลูชั่นแบบติดตั้ง on-premise และจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลตัวตนของพนักงานลงบนบล็อคเชนอย่างเด็ดขาด

แน่นอนว่าเมตาเวิร์สยังคงห่างไกลจากความเป็นจริงที่แน่นอน แต่เมื่อใดก็ตามที่มันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน จะพบได้ว่าไม่ใช่ทุกแบรนด์สินค้าจะสามารถเติบโตในตลาดการแข่งขันนี้ได้ รูปอวตารยังมีข้อจำกัดทั้งในด้านเวลา โอกาสและพลังงานที่ใช้ในการมีปฏิสัมพันธ์กับบริษัท

เช่นเดียวกับมนุษย์ที่เป็นผู้ควบคุม แบรนด์สินค้าที่หวังว่าจะประสบความสำเร็จบนเมตาเวิร์สในอนาคตจำเป็นต้องสำรวจหาขอบเขตและความเป็นไปได้ตั้งแต่วันนี้ และเดิมพันความเสี่ยงของตน ก่อนที่จะไม่มีพื้นที่โลกเสมือนจริงหลงเหลือให้ได้เข้าไปครอบครอง