เตือนภัย 'คอลเซ็นเตอร์' ลวงประชาชน เสียหาย 400 ล้าน
ตร.ผนึกกำลังหน่วยงานรัฐ เตือนภัย "คอลเซ็นเตอร์" แอบอ้างหลอกลวงประชาชน พบรอบสัปดาห์ถูกหลอกสูญเงินเกือบ 400 ล้านบาท ยืนยันไม่มีหน่วยงานใดติดต่อประชาชน ในรูปแบบที่แอบอ้าง พร้อมแนะจุดสังเกตุ และแนวทางการระวังป้องกันไม่ตกเป็นเหยื่อ
เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้เชิญหน่วยงานของรัฐที่ถูกแอบอ้างมาร่วมประชุมพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหา อาทิ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรมที่ดิน กรมสรรพากร กรมการค้าภายใน กรมศุลกากร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย/ส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง/ส่วนภูมิภาค โดยทุกหน่วยให้ความสำคัญ และนำเสนอวิธีการแจ้งเตือนประชาชนที่แต่ละหน่วยได้ดำเนินการไปแล้ว และสิ่งที่จะร่วมมือกันดำเนินการต่อไป
จึงขอแจ้งเตือนให้ประชาชนได้ตระหนักถึงภัยออนไลน์ ในรูปแบบของ "คอลเซ็นเตอร์" แอบอ้างหน่วยงานรัฐ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
- 'ค่ายมือถือ' ชู 'เอไอ-คลาวด์' ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ป่วน
- กด *138*1# แล้วโทรออก บล็อก "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" จากต่างประเทศได้ทันที
ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมามีมิจฉาชีพ "คอลเซ็นเตอร์" แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ โทรศัพท์ หรือส่งข้อความสั้น หลอกลวงประชาชน เพื่อชักจูงให้ประชาชนหลงเชื่อ กดลิงก์ติดตั้งแอปพลิเคชัน ควบคุมเครื่องโทรศัพท์แล้วโอนเงินออกจากบัญชีธนาคารไป หรือส่งเอกสารปลอมข่มขู่ให้ประชาชนกลัว เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก
ซึ่งสถิติการรับแจ้งความออนไลน์มีรายชื่อหน่วยงานของรัฐที่ถูกคอลเซ็นเตอร์แอบอ้างนำไปหลอกลวงประชาชน รวมทั้งสิ้นจำนวน 20,937 เคส ดังนี้ หน่วยงานราชการ 13,402 เคส, กรมสรรพากร 3,024 เคส, บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด 1,384 เคส, สถานีตำรวจ 1,303 เคส, สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) 590 เคส,
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) 533 เคส, กรมศุลกากร 218 เคส, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 149 เคส, กรมที่ดิน 147 เคส, การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย/ส่วนภูมิภาค 113 เคส, การประปานครหลวง/ส่วนภูมิภาค 51 เคส, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า 16 เคส, กรมการค้าภายใน 4 เคส, กรมการจัดหางาน 3 เคส
สำหรับ สถิติการหลอกลวงในระบบรับแจ้งความออนไลน์มีทั้งหมด จำนวน 244,567 เคส ส่วนรูปแบบการหลอกลวง "คอลเซ็นเตอร์" แอบอ้างหน่วยงานของรัฐ มีจำนวน 20,937 เคส มูลค่าความเสียหาย จำนวน 3,328,454,052.35 บาท คิดเป็น 8.56 เปอร์เซ็นต์ ของรูปแบบการหลอกลวงทั้งหมด ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2565-22 เม.ย.2566 ทั้งนี้แต่ละวันได้รับแจ้งคดีการหลอกลวง 700-800 เรื่อง/วัน ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาได้รับแจ้งคดีการหลอกลวง 14 คดีหลักจำนวน 4,101 เรื่องรวมมูลค่าความเสียหายกว่า 349 ล้านบาท
ด้านนายชยาวุธ จันทร อธิบดีกรมที่ดิน กล่าวว่า ในส่วนของกรมที่ดินพบว่ามีการหลอกลวงโดยการโทรศัพท์แอบอ้างเป็นกรมที่ดินเรื่องเสียเบี้ยปรับเงินที่ดินเพิ่ม และหลอกลวงให้ปรับปรุงข้อมูลผ่านแอปพลิเคชัน โดยสร้างเว็บไซต์ปลอมขึ้นมา จึงขอแนะนำว่าอย่ากดลิ้งก์ไปกรอกแก้ไขข้อมูลเด็ดขาด และหากเป็นแอปจริงก็ต้องโหลดผ่าน play store และ App Store เท่านั้น เพราะหากกดลิ้งก์เข้าไปคนร้ายจะใช้สปายแวร์เพื่อเก็บรหัสผ่านนำไปใช้ดูดเงิน พร้อมระบุว่า ได้รับแจ้งข้อมูลตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา มีการอ้างชื่อกรมที่ดินไปใช้เก็บเงินภาษีที่ดิน ซึ่งเตือนว่า กรมที่ดินไม่มีหน้าที่เรียกเก็บภาษีบำรุงท้องที่ แต่ท้องถิ่นจะเป็นผู้ดำเนินการ
ซึ่งตั้งแต่มีนาคม-เมษายน ได้รับเรื่องร้องเรียนผ่านคอลเซ็นเตอร์ที่เบอร์ 02-1415555 กว่า 800 สาย มาติดต่อสอบถามด้วยตนเอง 15 ราย ผ่านแอปพลิเคชัน 2 ราย มีผู้เสียหายถูกหลอกลวงโอนเงินไปแล้ว 5 ราย สูญเงินมากสุด 1 ล้านบาท น้อยสุดหลักร้อยบาท
ทั้งนี้ กรมที่ดินได้แจ้งความเอาผิดแล้ว 2 คดี คดีแรกแจ้งความที่กองปราบปราม เพื่อให้ตรวจสอบการปลอมแปลงลายเซ็นของตนเอง และอีกคดีเป็นการปลอมแปลงหน้าเว็บไซต์กรมที่ดิน
ด้าน น.ส.จิตสถา ศรีประเสริฐสุข ผู้ช่วยเลขาธิการ สายงานกิจการโทรคมนาคม หรือ กสทช. กล่าวว่า สำหรับประชาชนที่ไม่มีธุระติดต่อกับต่างประเทศ เพื่อเป็นการป้องกันกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรเข้ามาสามารถกด *138*1# แล้วกดโทรออก จะเป็นการปิดกั้นสายเรียกเข้าจากต่างประเทศทุกกรณี
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ประสานหน่วยงานของรัฐที่ถูกแอบอ้างแล้ว ได้รับการยืนยันว่า ไม่มีการใช้วิธีติดต่อประชาชนในรูปแบบที่มิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์แอบอ้าง จึงได้แจ้งเตือนประชาชนให้ทราบถึงวิธีการของคนร้าย จุดสังเกตุ และแนวทางการระวังป้องกันตนเองไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพตลอดมา แต่ปรากฏว่าปัจจุบันยังมีประชาชนหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพอยู่เป็นจำนวนมาก