'ดีอี' ผนึก 'บีโอไอ' ฉีดยาแรงโหมสมาร์ทซิตี้ ยกเป็นพื้นที่ปลอดภาษี 100%
ดีอีชูมาตรการดึงดูดด้วยการยกเว้นภาษีให้นักลงทุนสำหรับนิติบุคคล 3 ปี สัดส่วน 50% และจะเพิ่มเป็น 100 % ทันทีหากซื้อสินค้าและบริการบัญชีดิจิทัล จุดพลังสมาร์ทซิตี้เดินหน้าเครื่องยนต์เคลื่อนไทย มองต้องสร้างเมืองอัจฉริยะยั่งยืน เพิ่มศักยภาพทุนมนุษย์
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวในงานสัมมนา “POSTTODAY SMART CITY THAILAND 2024” หัวข้อ ผลักดันไทยสู่ SMART CITY ว่า สิ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ คือ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยคาร์บอน เพื่อประเทศไทยมีความสามารถในการเจรจากับต่างประเทศ ซึ่งกระทรวงดีอีมีนโยบายในการขับเคลื่อนประเทศด้วย 3 เครื่องยนต์ “The Growth Engine of Thailand” ได้แก่
1. การเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัลในการสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของประเทศ (Thailand Competitiveness) 2. การสร้างความมั่นคงและปลอดภัยของเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล (Safety & Security) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และ 3. การเพิ่มศักยภาพทุนมนุษย์ด้านดิจิทัลของประเทศ (Human Capital) ซึ่งต้องยอมรับว่าประเทศไทยยังมีไม่มาก
ในเรื่องสมาร์ทซิตี้ กระทรวงดีอีได้บรรจุเป็นแผนงานเป็นโครงการขนาดใหญ่อยู่ในเครื่องยนต์ที่ 1เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารเมือง โดยมีการชี้วัด 7 ด้าน ได้แก่ สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ การเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ การดำรงชีวิตอัจฉริยะ พลเมืองอัจฉริยะ พลังงานอัจฉริยะ เศรษฐกิจอัจฉริยะ และ การบริหารภาครัฐอัจฉริยะ
นายประเสริฐ กล่าวว่า 1 ใน 7 สมาร์ทซิตี้ 7 ด้านที่กระทรวงดีอีและสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ให้ความสำคัญ และเป็นหัวข้อบังคับ คือ ด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) เพื่อสนับสนุนนโยบายลดการปล่อยคาร์บอนของประเทศ
สำหรับ 3 นโยบายหลักในการส่งเสริมในการนำเมืองสู่สมาร์ทซิตี้ ได้แก่ 1. ดีป้า ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ
ในการพัฒนามาตรการดึงดูดด้วยการยกเว้นภาษีให้นักลงทุนสำหรับนิติบุคคล 3 ปี สัดส่วน 50% และจะเพิ่มเป็น 100 % ทันทีหากซื้อสินค้าและบริการบัญชีดิจิทัล ซึ่งปัจจุบันมีการจดทะเบียนแล้ว 50 ราย 2.ต้องคุยกับบีโอไอ ให้นักลงทุนในเมืองสมาร์ท ซิตี้ ที่ซื้อสินค้าผ่านบัญชีบริการดิจิทัลจะได้ลดหย่อนภาษีเพิ่มอีก 50 % เป็น 100 % และ 3.การส่งเสริมบริการข้อมูลเมือง
“หัวใจของการยกระดับจากชุมชนเมืองสู่สมาร์ทซิตี้ หรือการที่เมืองใดจะก้าวสู่สมาร์ทซิตี้ ชุมชนต้องมีส่วนร่วม ต้องมีการสร้างความเข้าใจกับชุมชน และออกแบบเมืองให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน และเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม”
นายประเสริฐ กล่าวว่า แนวคิดสมาร์ทซิตี้ แต่ละเมืองแตกต่างกัน เพราะสภาพแวดล้อมและปัญหาของแต่ละเมืองแตกต่างกัน ที่สำคัญต้องตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่าง กทม. จุดเด่นต้องการเมืองอัจฉริยะเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ปัญหาจราจร ใน จ.เชียงใหม่ ต้องการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ส่วนต่างประเทศ เช่น ซานฟรานซิสโก เน้นการลดคาร์บอนฟรุตปริ้น มีการวางระบบขนส่งอัจฉริยะ รวมถึงในอัมสเตอร์ดัม ที่เน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม เน้นพื้นที่สีเขียว
ดังนั้น ชุมชนต้องช่วยกันคิด ช่วยกันออกแบบ บทบาทของดีอีในการขับเคลื่อนสิ่งแวดล้อมสำคัญ เรามีเทคโนโลยีทั้ง ไอโอที บิ๊กดาต้า เอไอ เพื่อวิเคราะห์ให้แม่นยำ วางแผนได้ไม่ว่าจะเป็น การป้องกันภัยธรรมชาติ นอกจากนี้ ดีอี ยังมีการพูดถึงคาร์บอนเครดิต แพลตฟอร์ม เพื่อให้ภาครัฐได้รับการยอมรับ และผู้ประกอบการในประเทศได้รับการยอมรับ เพื่อสามารถไปแข่งขันในต่างประเทศได้ สุดท้าย เทคโนโลยี บล็อกเชน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
และเป้าสุดท้ายของสมาร์ทซิตี้ ที่คาดหวังคือ ต้องมีการพัฒนาแบบยั่งยืนและต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำแค่ 5-10 ปีแล้วเลิก และต้องอยู่ติดตัวเมืองนั้นตลอดไป อย่าทำตามกระแส การเป็นสมาร์ทซิตี้ ต้องอยู่ในบริบทที่ประเทศไทยต้องได้รับประโยชน์ที่สำคัญคือ การลดความเหลื่อมล้ำ ชุมชนในสมาร์ทซิตี้ ต้องเป็น สมาร์ท ฟอร์ ออล ต้องได้รับบริการ และชีวิตสะดวกสบายเท่าเทียมกัน