อ่านคำฟ้องรัฐบาลกลางสหรัฐกรณี การผูกขาดโดย Apple

อ่านคำฟ้องรัฐบาลกลางสหรัฐกรณี การผูกขาดโดย Apple

21 มีนาคม 2567 กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกา (U.S. Department of Justice, DOJ) และอัยการสูงสุดของรัฐหลายแห่งได้ยื่นฟ้องดำเนินคดีต่อต้านการผูกขาด (antitrust lawsuit) กับ Apple

โดยกล่าวหาว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนชั้นนำของโลกมีพฤติกรรมกการผูกขาดที่ต่อต้านการแข่งขันทางการค้า เนื่องจากความสามารถในการควบคุม iPhone การดำเนินการทางกฎหมายนี้ทำให้รัฐบาลกลางสหรัฐมีคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาเกี่ยวกับการต่อต้านการผูกขาดครอบคลุม

Tech Big 4 ซึ่งประกอบด้วย Google, Meta, Amazon และ Apple เป็นที่น่าสังเกตว่าแม้บริษัทชั้นนำเหล่านี้จะประสบความสำเร็จอย่างสูงในตลาดสหรัฐอเมริกาและตลาดโลก แต่ก็มีข้อกังขามากมายเกี่ยวกับพฤติกรรมการแข่งขันที่อาจขัดต่อกฎหมายได้

ในคดี U.S. et al. v. Apple Inc (2024) กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกากล่าวหา Apple ว่าสร้างอุปสรรคต่อความสามารถของนักพัฒนาในการส่งมอบคุณสมบัติบางอย่างแก่ผู้ใช้งาน iPhone โดยการจำกัดการเข้าถึงแอปพลิเคชันของบุคคลที่สามและระบบปฏิบัติการของ iPhone 

Apple ใช้กลยุทธ์ที่มีเป็นการต่อต้านการแข่งขันแบบกีดกัน (exclusionary anti-competitive conduct) และส่งผลให้เกิดผลเสียต่อผู้บริโภคและนักพัฒนา

โดยผู้บริโภคจะมีทางเลือกที่ลดลง ราคาและค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น คุณภาพของสมาร์ทโฟน แอพ และอุปกรณ์เสริมที่ลดลง รวมทั้งการพัฒนานวัตกรรมที่ลดลงจาก Apple และคู่แข่ง นักพัฒนาจะถูกบังคับให้ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ Apple กำหนดและเป็นกฎระระเบียบที่ทำให้ไม่มีการแข่งขันอย่างแท้จริง

ในคำฟ้องของ DOJ มีรายละเอียดที่น่าสนใจหลายประการ เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจของ Apple อาทิ

(1)Apple ขัดขวางการพัฒนาแอปพลิเคชัน ที่จะอำนวยความสะดวกในการสลับระหว่างแพลตฟอร์มสมาร์ทโฟนได้อย่างราบรื่น และลดคุณภาพของแอปพลิเคชันส่งข้อความข้ามแพลตฟอร์ม ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ใช้งาน iPhone สามารถใช้ได้เฉพาะแอปพลิเคชันส่งข้อความ (iMessage) กับเครือข่ายของผู้ใช้งาน iPhone เท่านั้น

อ่านคำฟ้องรัฐบาลกลางสหรัฐกรณี การผูกขาดโดย Apple

(2)ในส่วนของบริการคลาวด์ Apple ได้จำกัดการทำงานและการเข้าถึงข้อมูลและการเชื่อมต่อของนาฬิกาอัจฉริยะ (smartwatches) ที่ไม่ใช่ Apple Watch และขัดขวางการขยายตัวกระเป๋าสตางค์ดิจิทัลของบุคคลที่สาม (digital wallets)

การจำกัดการการเข้าถึงบริการคลาวด์ดังกล่าวของผู้ให้บริการรายอื่น ๆ ทำให้ผลิตภัณฑ์/บริการเหล่านั้นไม่สะดวกและไม่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ iPhone และทำให้ผลิตภัณฑ์ Apple Watch และ Apple Wallet เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด (ทางเลือกเดียว) สำหรับผู้ใช้งาน iPhone

โดย DOJ ยืนยันว่าเทคโนโลยีที่ถูกปิดกั้นเหล่านี้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยมแก่ผู้บริโภคบนสมาร์ทโฟนทุกรุ่น ทำให้ผู้ผลิตต้องแข่งขันโดยอาศัยคุณสมบัติที่เหนือกว่า

แต่สิ่งที่ Apple ทำนั้นเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งในการผูกขาด โดยไม่ได้เพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์ของตนเอง โดยการทำให้ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากในการเข้ามาแข่งขัน

(3)Apple ได้สร้างข้อจำกัดใน App Store และข้อตกลงของผู้พัฒนาแอพ ทำให้ Apple สามารถระงับทางเลือกอื่นในการเข้าถึงแอปพลิเคชันของผู้ใช้งาน ในขณะที่ได้รับการผูกขาดค่าคอมมิชชั่นสูงถึง ร้อยละ 30 จากผู้พัฒนาแอปพลิเคชันซึ่งส่งผลให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อผู้บริโภค รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมที่ลดลง ความมั่นคงปลอดภัย และประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้งานที่อาจไม่เพียงพอ

อ่านคำฟ้องรัฐบาลกลางสหรัฐกรณี การผูกขาดโดย Apple

(4)พฤติกรรมต่อต้านการแข่งขันของ Apple ไม่เพียงจำกัดการแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบในวงกว้างต่ออุตสาหกรรมต่างๆ เช่น บริการทางการเงิน ฟิตเนส เกม โซเชียลมีเดีย สื่อข่าว บันเทิง และอื่น ๆ 

DOJ ระบุในคำฟ้องความยาว 88 หน้าที่ยื่นต่อศาลรัฐบาลกลางในรัฐนิวเจอร์ซีว่า หากพฤติกรรมต่อต้านการแข่งขันและการกีดกันของ Apple ยังไม่ยุติลง มีความเป็นไปได้ที่ Apple จะขยายอำนาจการผูกขาดจาก iPhone ไปในตลาดอื่น ๆ

และทำให้ธุรกิจอื่น ๆ ของ Apple แข็งแกร่งขึ้น และจะเพิ่มผลกระทบอย่างรวดเร็วจากการเพิ่มอำนาจการแข่งขัน โดยการใช้ความได้เปรียบจากการใช้อำนาจควบคุมการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นบนอุปกรณ์ iPhone

DOJ ยืนยันว่าการตัดสินใจดำเนินคดีกับ Apple เพราะต้องการให้มีการแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนอย่างแท้จริงจากพฤติกรรมการกีดกันการแข่งขันของ Apple และฟื้นฟูการแข่งขัน เพื่อลดราคาสมาร์ทโฟนและลดค่าธรรมเนียมของนักพัฒนา

ซึ่งในคำฟ้องดังกล่าว DOJ มีคำขอบังคับให้ศาลมีคำสั่งห้ามไม่ให้ Apple ดำเนินการใด ๆ ที่เป็นการต่อต้านการแข่งขันอีกต่อไป  

อ่านคำฟ้องรัฐบาลกลางสหรัฐกรณี การผูกขาดโดย Apple

ในทางกลับกัน Apple ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาใดเกี่ยวกับการจำกัดหรือขัดขวางการแข่งขัน บริษัทโต้แย้งว่าคดีดังกล่าวมีความเสี่ยงต่อความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เหนือกว่าคู่แข่งที่ผู้บริโภคคาดหวัง

หาก Apple แพ้คดี iPhone จะมีความเป็นส่วนตัวและความมั่นคงปลอดภัยลดลง และปริมาณของมัลแวร์และเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในแอปพลิเคชันจะเพิ่มมากขึ้นจากการที่ Apple ไม่สมารถควบคุมสภาพแวดล้อมในการพัฒนาและเข้าถึง iPhone

และยังแสดงความเห็นด้วยว่าการใช้อำนาจของรัฐบาลกลางในลักษณะดังกล่าว เป็นการเข้ามากำหนดทิศทางการพัฒนาของเทคโนโลยีของผู้ประกอบการเอกชน และยืนยันว่าคดีนี้มีข้อผิดพลาดเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย

ในขณะที่เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2567 คณะกรรมาธิการยุโรปได้มีคำสั่งปรับ Apple มูลค่ากว่า 1.8 พันล้านยูโร จากการใช้อำนาจเหนือตลาดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย (เป็นคดีต่อต้านการผูกขาดในบริบทของสหภาพยุโรป)

ในการจำหน่ายแอปพลิเคชันสตรีมมิ่งเพลงให้กับผู้ใช้ iPhone และ iPad ผ่านทาง App Store จากการกำหนดข้อจำกัดกับนักพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อป้องกันไม่ให้แจ้งให้ผู้ใช้ iOS ทราบเกี่ยวกับบริการสมัครสมาชิกเพลงทางเลือกและราคาถูกกว่าที่มีอยู่ภายนอก App Store ซี่งส่งผลให้ผู้ใช้งานถูกจำกัดทางเลือกในการใช้บริการ

จากทั้งคดีในฝั่งของสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่เกิดขึ้นกับ Tech Big 4 อย่าง Apple แสดงให้เห็นถึงการแข่งขันและการกำกับดูแลที่เข้มงวดโดยหน่วยงานที่มีอำนาจกำกับดูแลตามกฎหมายผ่านกลไกที่เรียกว่า Antitrust Law/Competition Law ของแต่ละประเทศ

น่าเสียดายที่เราไม่เคยมีโอกาสเห็นคดีในลักษณะนี้ในประเทศไทย ทั้งที่พฤติกรรมการแข่งขันหรือการทำธุรกิจของบริษัทเหล่านี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากที่ดำเนินการในต่างประเทศแต่อย่างใด.

อ้างอิง: 

U.S. et al. v. Apple Inc., case number 2:24-cv-04055, in the U.S. District Court for the District of New Jersey.

Apple’s DoJ Lawsuit Was Inevitable And Will Change The Company Forever

Justice Department Sues Apple for Monopolizing Smartphone Markets

Commission fines Apple over €1.8 billion over abusive App store rules for music streaming providers,

คอลัมน์ Tech, Law and Security

ระวีวรรณ ขันติวิริยะพานิช

บริษัท ดีพีโอเอเอเอส จำกัด

ศุภวัชร์ มาลานนท์

บัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม (KMUTT/มจธ.)