'ดีอี' เร่งแก้ก.ม.100ปี 'ไปรษณีย์' คาดเสนอครม.ไม่เกินเม.ย. 68นี้
กระทรวงดีอี คาดกฎหมายไปรษณีย์ไทยเสนอ ครม.ไม่เกินเดือนเม.ย.นี้ เผยอยู่ระหว่างการสรุปผลการรับฟังความคิดเห็น ยังไม่ฟันธงว่าจะยกเลิกกฎหมายเก่าที่ใช้มานาน 90 ปีหรือไม่ ชี้ไม่ได้เป็นระบบใบอนุญาต แต่เป็นการทำให้กฎหมายทันสมัย แข่งขันได้ประชาชนได้ประโยชน์
ยุพาภรณ์ ศิริกิจพาณิชย์กูล ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ขณะนี้การแก้ไข พ.ร.บ.ไปรษณีย์ พ.ศ. 2477 ปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะไปแล้ว โดยก่อนหน้านี้ได้ เปิดรับฟังความคิดเห็นตั้งแต่ 25 พ.ย. 2567 ถึงวันที่ 9 ธ.ค.2567 จึงอยู่ระหว่างการสรุปผลการรับฟังความคิดเห็น คาดว่าจะสามารถเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาไม่เกินเดือนเม.ย. 2567 นี้
สำหรับบทสรุปการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะเป็นการยกเลิกกฎหมาย หรือ เป็นเพียงการแก้ไขกฎหมาย เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวถูกใช้มานาน 90 ปีแล้ว แต่อย่างไรก็ตามต้องมีกฎหมายลูกออกมาอย่างแน่นอน โดยต้องคำนึงถึงความยืดหยุ่นเพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยี การแข่งขัน และเพื่อประโยชน์ต่อการใช้บริการของประชาชน
ทั้งนี้ กระทรวงดีอีได้จ้างมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยในการดำเนินการเรื่องดังกล่าว โดยมีการนำกฎหมายไปรษณีย์จากประเทศต่างๆมาเปรียบเทียบทั้งประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย และ ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย เนื่องจากเป็นประเทศที่มีเกาะจำนวนมาก ดังนั้นสามารถนำมาเทียบเคียงกับการส่งไปรษณีย์ทางไกล และพื้นที่ทุรกันดาร ของประเทศไทยได้ แต่การให้บริการในประเทศไทยคงไม่ต้องถึงขั้นทำในรูปแบบระบบใบอนุญาต แต่จะเน้นการจดแจ้งการให้บริการมากกว่า
อย่างไรก็ตาม กระทรวงดีอี ได้ลงประกาศสำนักงานปลัดกระทรวงดีอี เรื่อง ประเมินผลสัมฤทธิ์ของพระราชบัญญัติไปรษณีย์ พุทธศักราช 2477 โดยมีสาระสำคัญ ของการแก้กฎหมายคือจะช่วยให้ประชาชนได้รับบริการ เกี่ยวกับการรับรวบรวมส่งจ่ายและส่งมอบไปรษณีย์อย่างทั่วถึงสะดวกรวดเร็ว และประชาชนทุกคนสามารถใช้บริการได้อย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ทั่วประเทศในราคาที่สามารถจ่ายได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งเป็นการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิในความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการสื่อสารของบุคคลโดยทางไปรษณีย์อันเป็นบริการไปรษณีย์พื้นฐานโดยทั่วถึง
ปัญหาของกฎหมายเนื่องจากมีการบังคับใช้มาเป็นเวลากว่า 90 ปีจึงเป็นกฎหมายล้าสมัยไม่สอดคล้องกับสถานภาพในปัจจุบัน กฎหมายฉบับนี้มีขอบเขตครอบคลุมถึงการกำกับดูแลพัสดุภัณฑ์น้ำหนักเบานอกเหนือจากจดหมายแต่เนื่องจากกฎหมายถูกนำมาใช้กำกับดูแลเฉพาะผู้ให้บริการคือบริษัทไปรษณีย์ไทยจำกัดจึงไม่มีการออกหลักเกณฑ์เพื่อกำกับดูแลผู้ให้บริการขนส่งพัสดุภัณฑ์รายอื่นทำให้ผู้บริโภคที่ใช้บริการขนส่งพัสดุภัณฑ์น้ำหนักเบาไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างเพียงพอ
ขณะที่การให้บริการไปรษณีย์พื้นฐานโดยทั่วถึงในพื้นที่ห่างไกลเป็นภาระอย่างมากแก่ผู้มีหน้าที่ให้บริการดังกล่าวคือ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เนื่องจากมีต้นทุนสูงแต่ถูกกำหนดให้มีการควบคุมการคิดค่าบริการให้อยู่ในระดับที่ประชาชนทุกกลุ่มสามารถใช้บริการได้อย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ทั่วประเทศและเท่าเทียมกัน
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปัจจุบันมีการดำเนินคดีระหว่างบริษัทไปรษณีย์ไทยจำกัดกับผู้ใช้บริการจำนวน 13 คดีแบ่งเป็นคดีในศาลยุติธรรมจำนวน 8 คดีศาลปกครองจำนวน 5 คดีกรณีดำเนินคดีที่ศาลปกครองเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติไปรษณีย์พ.ศ 2477 ซึ่งศาลปกครองพิพากษาให้ชดใช้เงิน 2 คดีและยกฟ้องศาลคดีขณะที่ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2567 ได้นำกฎหมายของแต่ละประเทศนำเสนอบนเวทีการรับฟังความคิดเห็น อาทิ
สหรัฐอเมริกา ระบบไปรษณีย์ของสหรัฐฯ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ Postal Regulatory Commission (PRC) ซึ่งประกอบด้วยกรรมาธิการ 5 ท่าน แต่งตั้งโดยประธานาธิบดีและได้รับการยืนยันจากวุฒิสภา มีวาระดำรงตำแหน่ง 6 ปี PRC ใช้แนวทาง Ex Ante โดยเฉพาะในเรื่องการกำหนดอัตราค่าบริการแบบ Price Cap สำหรับบริการที่ครองตลาดหลัก และการส่งพัสดุภัณฑ์ต้องได้รับความเห็นชอบจาก PRC ก่อนกำหนดราคา
สหราชอาณาจักร
Ofcom ทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการไปรษณีย์ โดยมุ่งเน้นการตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายแบบ Ex Post เช่น การรับเรื่องร้องเรียนและเผยแพร่ข้อมูลคุณภาพบริการ ระบบนี้ไม่มีการบังคับให้ต้องขอใบอนุญาตล่วงหน้า แต่ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กำหนด เช่น การคุ้มครองผู้บริโภคและมาตรฐานการให้บริการที่เป็นธรรม
เยอรมนี
Federal Network Agency (FNA) กำกับดูแลระบบไปรษณีย์ผ่านแนวทาง Ex Ante โดยใช้ระบบลงทะเบียนแทนใบอนุญาต ผู้ประกอบการต้องลงทะเบียนในฐานข้อมูลผู้ให้บริการและผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ เช่น ความพร้อมด้านเทคนิคและคุณภาพบริการ นอกจากนี้ยั.งมีการควบคุมราคาตามเกณฑ์ Price Cap และกำหนดเงื่อนไขการเข้าถึงตลาดเพื่อป้องกันการผูกขาด
ญี่ปุ่น
กระทรวงกิจการภายในและการสื่อสาร (MIC) ควบคุมระบบไปรษณีย์ผ่านทั้งแนวทางป้องกันล่วงหน้า (Ex Ante) และการแก้ไขเยียวยา (Ex Post) ผู้ประกอบการต้องได้รับใบอนุญาตก่อนเริ่มดำเนินการ และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เช่น การรักษาความลับของจดหมาย