ไม่ยืนงงในดงเถื่อน! ’แอปเงินกู้’ ไหนแท้ ท่ามกลางสวรรค์ของแอปเถื่อน?
เปิดลายแทง “แอปเงินกู้” ถูกกฎหมาย รับรองโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รวมแอปเงินกู้ตัวจริงเสียงจริง มีเงินใช้ไม่เสี่ยงโดนหลอก เพราะโลกนี้มันโหดร้าย แต่แอปเถื่อนยังเริงร่าอยู่บนสวรรค์ที่เต็มไปด้วยช่องโหว่ที่เรียกว่า Play Store
ช็อตเงินที่ว่าแย่ ยังต้องมาช็อกกับ แอปเงินกู้เถื่อน ที่ทั้งฝังมาในสมาร์ตโฟนและระบาดในสโตร์แบบไม่เกรงกลัวกฎหมาย วันนี้ KT Review กรุงเทพธุรกิจไอที จะมาเปิดลายแทง แอปเงินกู้ถูกกฎหมาย ผ่านฟีเจอร์บนหน้าเว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่การันตีว่าแอปไหนแท้ แอปไหนเถื่อน
เพราะหลังจากประเด็นร้อนของมือถือแบรนด์ OPPO และ realme ที่มี แอปเงินกู้ ติดตั้งมาแบบพรีโหลด จนเกิดดราม่าและการต่อต้านจากผู้บริโภค ทำให้หลายคนกังวลว่าแอปเงินกู้อื่นๆ ที่มีมากมายที่มีให้เห็นใน Play Store จะไม่น่าไว้วางใจแบบแอปเงินกู้เจ้าปัญหานั้นหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับว่ามีหลายคนที่ยังจำเป็นต้องใช้สินเชื่อเพื่อต่อลมหายใจ
เพื่อความสบายใจและปลอดภัย ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงมีหน้าเว็บไซต์แสดงรายชื่อแอปพลิเคชันเงินกู้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงแอป Mobile Banking ที่มีฟีเจอร์ด้านการกู้เงินด้วย โดยที่แอปเหล่านี้ผ่านการอนุมัติจากแบงค์ชาติแล้ว
เว็บไซต์เช็กแอปเงินกู้ของธนาคารแห่งประเทศไทย คือ https://www.bot.or.th/th/license-loan.html เมื่อเข้าไปที่หน้าเว็บแล้วเพียงแค่กรอกชื่อแอปเงินกู้ที่เราสนใจหรือกำลังสงสัยว่าเป็นแอปเถื่อนหรือไม่ ลงในช่องค้นหา ถ้าหากเป็นแอปที่แบงค์ชาติอนุมัติจะมีข้อมูลปรากฏขึ้นมาทั้งชื่อที่ถูกต้อง ลิงก์แอป/เว็บไซต์ และที่อยู่/ติดต่อ ของผู้ให้บริการแอปนั้น ทว่าถ้าเป็นแอปเถื่อนจะขึ้นว่า “ไม่พบผลการค้นหา” พร้อมกับมีคำเตือน “ระวังถูกหลอกให้กู้เงิน ตรวจสอบให้ดีก่อน ไม่โดนหลอกแน่!” ปรากฏขึ้นมาด้วย
Play Store สวรรค์ของแอปเถื่อน?
ถึงธนาคารแห่งประเทศไทยจะช่วยชี้เป้าแอปเงินกู้ของแท้ให้แล้ว แต่ถ้าย้อนรอยไปที่ต้นทางของแอปเหล่านี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า Google Play Store ไม่ได้เป็นเพียงคลังของแอปพลิเคชันของผู้ใช้งาน Android เท่านั้น แต่ยังซ่อนช่องโหว่อันตรายที่เปิดทางให้แอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อนแพร่ระบาดราวกับไวรัสตัวร้าย
หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือเงื่อนไขการอนุญาตแอปฯ ของ Google ที่ค่อนข้าง “เสรี” แม้จะมีระบบตรวจสอบแอปพลิเคชันก่อนปล่อยขึ้นสโตร์ แต่กระบวนการนี้กลับไม่ได้เข้มงวดมากพอที่จะกรองแอปฯ ปลอม แอปฯ อันตราย หรือแม้แต่แอปฯ เงินกู้เถื่อนที่แฝงตัวเข้ามา โดย Google เน้นการตรวจสอบด้านเทคนิคเป็นหลัก เช่น ตรวจสอบโค้ด ตรวจสอบการทำงานพื้นฐาน หรือตรวจสอบ Malware แต่กลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับ "เนื้อหา" ภายในแอปฯ มากนัก รวมถึงการตรวจสอบที่มาที่ไปของผู้พัฒนาแอปฯ ซึ่งอาจเป็นบุคคลหรือนิติบุคคลที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง
นโยบายเปิดกว้างนี้ แม้จะส่งเสริมความหลากหลายและโอกาสให้นักพัฒนา แต่ก็กลายเป็นดาบสองคมที่เปิดช่องให้เหล่ามิจฉาชีพฉวยโอกาสหากินบนความเดือดร้อนของผู้คน ยิ่งไปกว่านั้น Google ยังอนุญาตให้แอปฯ ต่างๆ เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ได้ง่าย เช่น รายชื่อผู้ติดต่อ ตำแหน่ง GPS หรือแม้แต่ข้อมูลกล้องและไมโครโฟน โดยมีเพียง "หน้าต่างแจ้งเตือน" เล็กๆ ให้ผู้ใช้กดยอมรับ ซึ่งผู้ใช้ส่วนมากมักกด "อนุญาต" โดยไม่ได้อ่านรายละเอียด ทำให้แอปฯ เหล่านี้เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้อย่างอิสระ
แอปฯ เงินกู้เถื่อนเหล่านี้ มักมาพร้อมกับคำโฆษณาชวนเชื่อ เช่น “อนุมัติไว” “ไม่เช็คเครดิตบูโร” หรือ “ดอกเบี้ยต่ำ” เพื่อล่อลวงเหยื่อให้ติดกับดัก เมื่อหลงเชื่อดาวน์โหลดและใช้งาน ผู้ใช้จะถูกบังคับให้ “อนุญาต” เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวมากมาย ซึ่งล้วนเป็นขุมทรัพย์ล้ำค่าสำหรับมิจฉาชีพในการนำไปใช้ประโยชน์ในทางมิชอบ เช่น การขโมยเงิน การทวงหนี้โหด หรือแม้แต่การนำข้อมูลไปขายต่อในตลาดมืด
ยิ่งไปกว่านั้น แอปฯ เงินกู้เถื่อนส่วนมากมักคิดอัตราดอกเบี้ยมหาโหด เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และมีการซ่อนเงื่อนไข ค่าธรรมเนียม หรือค่าปรับต่างๆ ไว้อย่างแนบเนียน ทำให้ผู้กู้ต้องแบกรับภาระหนี้สินที่เพิ่มพูนขึ้นอย่างไม่รู้จบ หลายรายตกเป็นเหยื่อ ถูกข่มขู่ คุกคาม จนถึงขั้นหมดเนื้อหมดตัว สร้างบาดแผลทางจิตใจและสังคมอย่างร้ายแรง
ปัญหาแอปฯ เงินกู้เถื่อนใน Google Play Store จึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่มองข้ามได้ Google ในฐานะผู้ดูแลแพลตฟอร์ม จำเป็นต้องทบทวนและปรับปรุงนโยบายการตรวจสอบแอปฯ ให้เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะการตรวจสอบ "เนื้อหา" และที่มาที่ไปของผู้พัฒนา ลงทุนพัฒนาระบบ AI หรือ Machine Learning เพื่อช่วยในการตรวจจับและคัดกรองแอปฯ อันตราย รวมถึง “ให้ความรู้” แก่ผู้ใช้ในการเลือกดาวน์โหลดแอปฯ อย่างปลอดภัย เช่น การอ่านรีวิว การตรวจสอบสิทธิ์ที่แอปฯ ร้องขอ หรือการเลือกดาวน์โหลดแอปฯ จากผู้พัฒนาที่น่าเชื่อถือเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ต้องร่วมมือกัน กำหนดมาตรการ กฎระเบียบ และบทลงโทษที่ชัดเจน เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของแอปฯ เงินกู้เถื่อน รวมถึง “สร้างภูมิคุ้มกัน” ให้แก่ประชาชน ผ่านการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ และให้ความรู้ทางการเงิน เพื่อลดโอกาสในการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ
การแก้ไขปัญหานี้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อสร้าง “ระบบนิเวศ” ของแอปพลิเคชันที่ปลอดภัย น่าเชื่อถือ และเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานอย่างแท้จริง มิฉะนั้น Google Play Store อาจกลายเป็น “สวรรค์” ของเหล่ามิจฉาชีพ ที่คอยจ้องจะ “ขูดรีด” เหยื่อผู้โชคร้ายต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด