ดัชนีนวัตกรรมโลกปี 2565 (GII2022)ไทยครองอันดับ 43 เวียดนามอันดับ 48
NIA เผยไทยครองอันดับ 43 ดัชนีนวัตกรรมโลกปี 2565 พร้อมนั่งแท่นแชมป์โลกด้านสัดส่วนการลงทุน R&D ของเอกชน - การส่งออกสินค้าสร้างสรรค์ เร่งผลักดัน “นวัตกรรม” เป็นวาระแห่งชาติ พร้อมพาประเทศไทยสู่ชาตินวัตกรรม
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์กรมหาชน) หรือ NIA เผยผลการจัดอันดับดัชนีนวัตกรรมโลก ประจำปี 2565 (Global Innovation Index 2022; GII 2022) ภายใต้ธีมอนาคตของการเติบโตด้วยการขับเคลื่อนบนฐานนวัตกรรมคืออะไร (What is the future of innovation-driven growth?)
ซึ่งจัดโดยองค์การทรัพย์สินทางปัญญาแห่งโลก (WIPO) เพื่อวัดระดับความสามารถทางด้านนวัตกรรม ที่เป็นเสมือนมาตรวัดเปรียบเทียบเชิงเวลาและการเปรียบเทียบเชิงแข่งขันทางด้านนวัตกรรมของแต่ละประเทศกว่า 130 ประเทศทั่วโลก
ในปีนี้ประเทศไทยยังครองอันดับที่ 43 (ปี 2021 อันดับ 43) ถือเป็นอันดับ 3 ในอาเซียนรองจากสิงคโปร์ อันดับ 7 และมาเลเซีย อันดับ 36
โดยปัจจัยสัดส่วนค่าใช้จ่ายมวลรวมด้านวิจัยและพัฒนาที่ลงทุนโดยองค์กรธุรกิจ และปัจจัยสัดส่วนการส่งออกสินค้าสร้างสรรค์เป็นอันดับ 1 ของโลก สำหรับปีนี้สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามอยู่ในอันดับ 48
ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า การจัดอันดับ GII 2022 ภายใต้ธีมอนาคตของการเติบโตด้วยการขับเคลื่อนบนฐานนวัตกรรมคืออะไร
โดยคาดการณ์ผลกระทบของนวัตกรรมใน 3 ประเด็น ได้แก่ ผลิตภาพ (Productivity) อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ (Economic growth) และความเป็นอยู่ที่ดีของสังคม (Well-being of society) ในทศวรรษที่กำลังจะมาถึง
สำหรับผลการจัดอันดับความสามารถทางด้านนวัตกรรมในปีนี้ ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 43 โดยในปีนี้ปัจจัยย่อยผลผลิตทางนวัตกรรม (Innovation output sub-index) อันดับที่ 44 (ดีขึ้น 2 อันดับ)
ขณะที่ฝั่งปัจจัยเข้าทางนวัตกรรม (Innovation input sub-index) อันดับที่ 48 (ลดลง 1 อันดับ) แต่ยังคงอยู่ในอันดับ 5 ของกลุ่มประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางระดับบน (Upper middle-income economies) จาก 36 ประเทศ
โดยประเทศไทยมีอันดับที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยในทุกปัจจัย เช่นเดียวกับในกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออกและโอเชียเนีย ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 9 จาก 17 ประเทศ
สำหรับปัจจัยชี้วัดความสามารถด้านนวัตกรรมของประเทศไทยที่โดดเด่นมากที่สุด เป็นกลุ่มปัจจัยด้านระบบธุรกิจ ที่แม้จะมีการปรับตัวลดลงมาเล็กน้อยแต่ยังอยู่ในระดับที่ดี
โดยเฉพาะสัดส่วนค่าใช้จ่ายมวลรวมด้านวิจัยและพัฒนาที่ลงทุนโดยองค์กรธุรกิจ (อันดับ 1 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3) ซึ่งสะท้อนให้เห็นการลงทุนของภาคเอกชนไทยที่มุ่งเน้นเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจด้วยการพัฒนานวัตกรรมมากขึ้น
และกลุ่มปัจจัยผลผลิตจากความคิดสร้างสรรค์ ที่ภาพรวมปรับตัวดีขึ้น 6 อันดับ (อันดับที่ 49) โดยมีจุดแข็งด้านการส่งออกสินค้าและบริการเชิงสร้างสรรค์ (อันดับที่ 1)
นอกจากนี้ ปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐาน ก็มีภาพรวมดีขึ้นถึง 7 อันดับ (อันดับที่ 54) ซึ่งจะเห็นได้ว่าประเทศไทยสามารถขยายตัวโครงสร้างพื้นฐานได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอันดับดีขึ้น 14 อันดับ (อันดับที่ 46) โดยเฉพาะตัวชี้วัดการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (อันดับที่ 30)
การใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT use) (อันดับที่ 49) และโครงสร้างพื้นฐานทั่วไปอันดับดีขึ้นอยู่อันดับที่ 44 โดยเฉพาะประสิทธิภาพด้านการขนส่งโลจิสติกส์ (อันดับที่ 31) ซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศไทยในระดับกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับบน
อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ควรต้องให้ความสำคัญเพิ่มขึ้น ได้แก่ ปัจจัยด้านสถาบัน ที่ภาพรวมอันดับลดลงถึง 14 อันดับ (อันดับที่ 78) ปัจจัยด้านทุนมนุษย์และการวิจัย ภาพรวมอันดับลดลง 8 อันดับ
แต่ยังมีตัวชี้วัดด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ของประเทศที่อันดับดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสัดส่วนค่าใช้จ่ายมวลรวมภายในประเทศสำหรับการวิจัยและพัฒนา อยู่อันดับที่ 36 ซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศไทยในระดับกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับบน
ปัจจัยด้านระบบตลาด ที่แม้ภาพรวมยังคงเดิมในอันดับที่ 27 แต่มีตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลงธุรกิจเงินร่วมลงทุนที่ได้รับการลงทุนเป็นจุดอ่อนของประเทศ อยู่อันดับที่ 87 และปัจจัยด้านผลผลิตจากองค์ความรู้และเทคโนโลยี ภาพรวมอันดับลดลง 3 อันดับ (อันดับที่ 43)
การพัฒนาที่สอดรับและสนับสนุนให้ตรงกับปัจจัยและตัวชี้วัดที่เป็นข้อจำกัดเชิงระบบ จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถก้าวกระโดดเป็นประเทศชั้นนำที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
NIA ในฐานะหน่วยประสานและขับเคลื่อนระบบนวัตกรรมของประเทศ จึงให้ความสำคัญกับการติดตามและนำข้อมูลดัชนีนวัตกรรมโลกมาใช้ประโยชน์ในการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดการออกแบบนโยบายที่เหมาะสมและสอดคล้อง สามารถขับเคลื่อนและปรับเปลี่ยนระบบนวัตกรรมไทยได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ
ดร.พันธุ์อาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการจัดอันดับและตัวชี้วัดเหล่านี้สะท้อนว่า หลายปีที่ผ่านมาทุกภาคส่วนของประเทศไทยทั้งภาครัฐ การศึกษา เอกชน และประชาชน พยายามยกระดับความสามารถทางนวัตกรรมเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยระยะสั้นประเทศต้องเร่งขับเคลื่อนใน 6 แนวทางสำคัญ ได้แก่
1. รัฐคือ Sandbox และ Accelerator ของนวัตกรรม เพื่อให้เกิดพื้นที่นำร่องและสร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยนวัตกรรม รวมถึงยกระดับการบริการภาครัฐและเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ปรับเปลี่ยนบทบาทภาครัฐจากผู้ควบคุม กำกับ เป็นผู้ส่งเสริมและผลักดันให้ประเทศมีความสามารถทางด้านนวัตกรรม
2.เร่งการเติบโตในการลงทุนทางนวัตกรรมเชื่อมกับการใช้ประโยชน์จากงานวิจัย โดยเฉพาะในภาคเอกชนไทยที่มีสัดส่วนการลงทุนสูงกว่าหน่วยงานภาครัฐอย่างโดดเด่น
ดังนั้น หากเร่งส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรมจะช่วยเร่งการเติบโต การใช้ประโยชน์ การลงทุน และการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านวิจัยและพัฒนาจากต่างประเทศ เพื่อสร้างผลผลิตทางนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลก
3.กระตุ้นกิจกรรมและสร้างฐานข้อมูลตลาดการเงินนวัตกรรมและตลาดทุนทางเทคโนโลยี โดยสร้างความเข้มแข็งให้กับตลาดธุรกิจเงินร่วมลงทุน ระบบการร่วมลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงในการพัฒนานวัตกรรมของภาคเอกชน
และลดความเสี่ยงสำหรับการลงทุนในระยะเริ่มต้น พร้อมทั้งสร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนแก่ธุรกิจที่ดำเนินการวิจัยและพัฒนา นวัตกรรมผ่านสถาบันการเงินไมโครไฟแนนซ์
4.เพิ่มจำนวนวิสาหกิจฐานนวัตกรรม เพื่อการปฏิรูปโครงสร้างทางธุรกิจ ไปสู่ประเทศที่แข่งขันด้วยเทคโนโลยีและองค์ความรู้ รวมถึงเกิดการสร้างธุรกิจใหม่ที่ตอบสนองความเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่มูลค่า
และเป็นการสร้างตลาดแรงงานทักษะสูงที่ใช้ความรู้เข้มข้นเพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพมาสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจ อุตสาหกรรม และบริการ
5.กระตุ้นการจดทะเบียนสิทธิบัตรและใช้ประโยชน์สิทธิบัตรเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ ประเทศไทยมีการยื่นจดผลิตภัณฑ์อรรถประโยชน์ หรืออนุสิทธิบัตรสูงเป็นอันดับ 8 ของโลก
แต่นวัตกรรมที่เกิดขึ้นเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ระดับการพัฒนาเทคโนโลยีไม่สูงมากนัก จึงต้องพัฒนานโยบายเชิงรุกด้านการลงทุนและการคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ในประเทศ และจะช่วยปรับปรุงการเข้าถึงความรู้และเทคโนโลยีทั้งในประเทศและระดับโลก รวมถึงการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่เอื้อต่อการกระตุ้นการเติบโตของทรัพย์สินทางปัญญาทั้งในเชิงของโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการคุ้มครอง การจดทะเบียนความสะดวกรวดเร็ว
6. เพิ่มจำนวนนวัตกรรมฐานความคิดสร้างสรรค์และวัฒนธรรม ซึ่งถือเป็นทรัพยากรที่สามารถนำไปสู่นวัตกรรมที่หลากหลาย สามารถสอดแทรกไปในหลายอุตสาหกรรม เช่น ท่องเที่ยว อาหาร แฟชั่น บันเทิง ฯลฯ
ทั้งนี้ การนำ Soft Power มาพัฒนาอุตสาหกรรมและทำให้เกิดการสร้างแบรด์ระดับโลกมีปรากฏให้เห็นในหลายประเทศ ซึ่งประเทศไทยมีจุดเด่นด้านทุนทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ หลากหลายและเป็นที่รับรู้ในเวทีสากล
แต่การส่งเสริมและการใช้เครื่องทางการสื่อสารและการตลาดมาสนับสนุนการรับรู้และการเติบโตในเวทีสากลยังมีอยู่จำกัด จึงจำเป็นต้องใช้ประโยชน์เครื่องมือเหล่านี้เพื่อผลักดันการสร้างอัตลักษณ์และแบรนด์ดิ้งนวัตกรรมไทยไปสู่สากล
ทั้งนี้ นโยบายของศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้ให้ความสำคัญกับ “นวัตกรรม”
และเชื่อมั่นว่าการที่นวัตกรรมจะเดินหน้าอย่างก้าวกระโดดนั้น ต้องอาศัยความเข้มแข็งของภาคเอกชนโดยมีภาครัฐเป็นกองหนุนที่สำคัญ เพื่อทำให้ประเทศไทยดีดตัวเองออกจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศรายได้สูงด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม
และสามารถก้าวสู่การเป็น “ประเทศแห่งนวัตกรรม” โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการขับเคลื่อนนวัตกรรมประเทศไทยให้ก้าวสู่อันดับ 1 ใน 30 ของประเทศที่มีความสามารถด้านนวัตกรรมของโลก ภายในปี 2573