สหรัฐเผยจีดีพีไตรมาสแรกปี65 หดตัว 1.4%

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 1/65 ในวันนี้ โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 1.4% ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เศรษฐกิจเผชิญภาวะถดถอยโดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงต้นปี 2563

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าเศรษฐกิจมีการขยายตัว 1.1% ในไตรมาส 1/65

ก่อนหน้านี้ เศรษฐกิจสหรัฐเติบโต 6.3% ในไตรมาส 1/64 และ 6.7% ในไตรมาส 2 ก่อนที่จะชะลอตัวสู่ 2.3% ในไตรมาส 3 เนื่องจากการขาดแคลนวัตถุดิบในภาคการผลิต ซึ่งกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่เศรษฐกิจสหรัฐกลับมามีการขยายตัว 6.9% ในไตรมาส 4

เมื่อพิจารณาทั้งปี 2564 เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 5.7% ซึ่งเป็นตัวเลขสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2527 หลังจากที่หดตัว 3.4% ในปี 2563 ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2489 โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

ด้านดอยซ์แบงก์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีโอกาสสูงที่จะเผชิญภาวะถดถอยในช่วงปลายปี 2566 และต้นปี 2567 โดยได้รับผลกระทบจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วและแรงเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

ทั้งนี้ ดอยช์แบงก์กลายเป็นสถาบันการเงินแห่งแรกที่ออกมาคาดการณ์แบบนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ตลาดหุ้นสหรัฐร่วง ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลง 810 จุด ท่ามกลางราคาสินค้าบริโภคในอเมริกาปรับขึ้น 8.5% สูงสุดในรอบ 40 ปีท่ามกลางสงครามและล็อกดาวน์โควิด-19 สร้างแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อ

ดอยช์แบงก์ ระบุว่า ในขณะที่เงินเฟ้อกำลังเพิ่มสูงขึ้นแต่ต้องใช้เวลายาวนานก่อนที่จะสามารถลดลงตามเป้าหมายของเฟดที่ 2% ซึ่งสิ่งนี้ชี้ไปว่าธนาคารกลางสหรัฐกำลังจะปรับเพิ่มดอกเบี้ยอย่างหนัก 

ด้านสำนักงานสถิติแรงงานของสหรัฐ เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (22 เม.ย.)ว่า ราคาสินค้าผู้บริโภคในสหรัฐปรับขึ้น 8.5% สูงสุดในรอบ 40 ปี ขณะที่ตลาดแรงงานสหรัฐกำลังฟื้นตัวโดยมีตำแหน่งงานเพิ่ม 431,000 ตำแหน่งในเดือนที่ผ่านมา ส่งผลทำให้อัตราว่างงานสหรัฐลดลงอยู่ที่ 3.6% หลังวิกฤตโควิด-19